Goii
บล็อกเกอร์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการศึกษาในรายวิชา อินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน ถ้าทำไม่สวยไม่ดี โปรดอย่าตำนิหรือด่ากันแรงเกินไปนะ
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554
สุนัขพันธุ์ปั๊ก (Pug)
สุนัขพันธุ์ปั๊ก (PUG) มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนเป็นสุนัขที่เก่าแก่ที่สุดพันธุ์หนึ่ง มีกำเนิดตั้งแต่ 400 ปีก่อนคริสตกาลในสมัยโบราณนิยมเลี้ยงไว้ในวัดจีน ต่อมาสุนัขพันธุ์ PUG กระจายไปอยู่ส่วนต่างๆของยุโรป ในประเทศฮอลแลนด์ให้เกียรติสุนัขนี้มาก เนื่องจากมันได้ช่วยชีวิตของเจ้าชายวิลเลียม โดยการเตรียมให้รู้ว่าพวกสเปนได้ยกทัพเข้ามาใกล้แล้ว ส่วนฝรั่งเศส มเหสี นโป-เลียนได้ซ่อนจดหมายไว้ที่ปลอกคอของ PUG ไปให้นโปเลียนเพื่อบอกว่า พระนางถูกจับขังไว้ที่ LESCARMES เหตุการณ์นี้เกิดในปี 1970
มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : สามารถอยู่ในที่เล็กๆได้หรือสามารถอยู่ร่วมกันหลายตัวได้
โครงสร้าง : ลำตัวเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและดูกระชับได้สัดส่วน สุนัขมีลำตัวซูบผอม ขาสั้นหรือยาวเกินไป
ศีรษะ : มีขนาดใหญ่ ลักษณะกลม หนังหัวบริเวณหน้ามีรอยย่นมาก
หู : มีขนาดเล็ก ใบหูค่อนข้างบาง หูพับไปด้านหน้าหรือด้านหลัง แต่หูพับไปด้านหน้าจะได้รับความนิยมมากกว่า
ตา : สีเข้ม ลักษณะกลมโต
ปาก : มีขนาดสั้น รูปร่างคล้ายทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส
จมูก : ควรสั้นแลดูหน้าทู่เหมือนสุนัขพันธุ์ปักกิ่งเวลามองตรงเข้าไปจากกหน้า จมูก
ปาก : ควรมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส จมูกควรมีสีดำ ฟันห้ามแลบออกมานอกปาก
ลำตัว : มีขนาดเล็ก ลำตัวล่ำสัน ลำตัวมีกล้ามเนื้อมาก
อก : กว้าง
ขาหน้า : แข็งแรงมาก ตั้งตรง ขาหน้ามีความยาวปานกลาง เท้าไม่กลมเหมือนเท้าแมว หรือนิ้วยาวมากเกินไป เล็บสีดำ
ขาหลัง : มีลักษณะเหมือนขาหน้า
หาง : มีลักษณะม้วนอยู่เหนือสะโพก หางม้วนสองรอบถือว่าดี
ขน-สี : ขนสั้นนุ่ม ตัวสีน้ำตาล บริเวณหน้า หู แก้ม ควรมีเส้นตัวสีดำหรือสีดำทั้งตัว
น้ำหนัก : ประมาณ 14-18 ปอนด์
น่ารักจัง
สุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian)
ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian) เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนนุ่มปุกปุย มีหัวเป็นรูปลิ่ม หูตั้งชี้ขึ้น บรรพบุรุษปอมเมอเรนียนย้อนกลับไปถึงยุคก่อนคริสตกาล พบภาพวาดในแผ่นหินและรูปหล่อสัมฤทธิ์ตามโลงศพที่พบในอียิปต์ พบโครงกระดูกสุนัขพันธุ์เล็กคล้ายพันธุ์ปอมเมอเรเนียน ในอุโมงค์ที่บรรจุศพสมัยโบราณของชาวอียิปต์
เชื่อ กันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่ เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์
ความ ฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎ ตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวด สุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง
มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จน ถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง
ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้าเป็นปอมหน้าหมีกำลังเป็นที่นิยม ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่ง ที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE
นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด
คอ เส้นหลังและลำตัว : คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง
ลำตัวส่วนหน้า : ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก
ลำตัวส่วนหลัง : ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก
การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป
ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด
สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว
จุดบกพร่อง :
1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH)
2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป
3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง
4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)
น่ารัก น่ะ
เชื่อ กันว่า ปอมเมอเรเนียนได้รับการพัฒนาให้เป็นปอมเมอเรเนียนในปัจจุบันครั้งแรกที่ เมืองปอมเมอเรเนีย ประเทศเยอรมัน ตั้งอยู่ในยุโดรเหนือแถบทะเลบอลติก ดินแดนกว้างใหญ่จากตะวันตกของเกาะรูเกนถึงแม่น้ำวิทูลา ที่แห่งนี้มีการเลี้ยงสุนัขอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อให้เป็นสัตว์และเพื่อให้เป็นสุนัขอารักขา ปอมเมอเรเนียนมีต้นกำเนิดจากพันธุ์สปิทซ์ในสมัยโบราณ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมเมอเรเนียนพัฒนาจากสุนัขพันธุ์ซามอยด์ ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่ตอนเหนือของประเทศรัสเซียแถบไซบีเรีย บางคนเชื่อว่าพัฒนามาจากสุนัขป่า ซึ่งอาศัยอยู่ตามถ้ำในประเทศเยอรมัน และถูกนำมาใช้เป็นสุนัขเลี้ยงแกะในทวีปยุโรปตอนกลางและตอนล่าง นำมาพัฒนาในยุโรปเพื่อช่วยในการเลี้ยงแกะ ซึ่งบรรพบุรุษของปอมฯ น่าจะมีน้ำหนักมากถึง 30 ปอนด์ บางคนเชื่อว่าสุนัขปอมฯ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซ โดยอ้างหลักฐานจากภาพวาดสมัยโบราณหลายภาพที่มีอายุ 400 ปีก่อนคริสตกาล หรือเกือบประมาณ 2500 ปีมาแล้ว มีภาพของสุนัขขนาดเล็กที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนสุนัขปอมฯ ในปัจจุบัน คือ Stop ที่เด่นชัด ช่วงปากแหลม หูสั้น ลักษณะการเดินและการแสดงออกเหมือนกับที่พบได้ในปัจจุบันทุกประการ ยกเว้นแต่ตำแหน่งของหางที่อยู่ต่ำเกินไปเท่านั้น แสดงว่าสุนัขพันธุ์นี้มีขนาดเล็กมากตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมาตามที่มีคนในประเทศอังกฤษอ้างเสมอ ประมาณปี 1800 สมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ทรงมีความชื่นชอบในสุนัขพันธุ์ปอมเมอเรเนียนและส่งสุนัขของพระองค์ลงประกวด ทำให้เกิดความนิยมปอมเมอเรเนียนอย่างแพร่หลายในประเทศอังกฤษ และเพราะความที่พระองค์โปรดปรานสุนัขที่มีขนาดเล็ก ผู้เพาะพันธุ์หลายคนเริ่มที่จะคัดสุนัขที่มีขนาดเล็ก ปัจจุบันปอมฯ ที่เราเห็นอยู่มีขนาดที่เล็กลงจากปอมฯ ที่เป็นต้นตำรับ 4-5 ปอนด์
ความ ฉลาดและความสามารถของปอมฯ ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เป็นพระเอกในคณะละครสัตว์อย่างต่อเนื่อง ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเยอรมัน นิยมเลี้ยงกันเป็นฝูง บางแห่งทำเป็นสุนัขลากเลื่อนก็มี ปอมฯ เข้าสู่อังกฤษช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 และได้รับความนิยมอย่างสูง เช่น มีการตั้งชมรมคือ English Pomeranian Club ในปี 1891 ภายหลังสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียทรงออกงานพร้อมสุนัขพันธุ์นี้บ่อยครั้ง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ส่วนในประเทศอเมริกามีการปรากฎ ตัวครั้งแรกของปอมเมอเรเนียนที่งานกระกวด สุนัขแห่งหนึ่งประมาณปี 1892 ไม่กี่ปีหลังจากนั้นมีการสั่งนำเข้าอีกเกือบ 200 ตัว มาตรฐานของปอมฯ โดยทั่วไป รูปรางจะเหมือนสุนัขจิ้งจอก มีขนาดกลาง ตาเป็นวงรีสีดำ หูเล็กตั้งตรง ลำตัวสั้นขนาดกระทัดรัด หางเป็นพวงแผ่อยู่บนส่วนหลัง
มาตราฐานสายพันธุ์
ลักษณะทั่วไป : ปอมฯ เป็นสุนัขขนาดเล็ก ลำตัวสั้นกระทัดรัด น้ำหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ มีการแสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด ร่าเริงและตื่นตัวอยู่เสมอ ซื่อสัตย์ รักเจ้าของ ขี้ประจบ แต่เป็นสุนัขค่อนข้างตกใจง่าย เห่ามาก ยิ่งตัวเล็กยิ่งเห่าเก่ง
สัดส่วน : น้ำหนักของปอมฯ โดยเฉลี่ยแล้วจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ (ประมาณ 1.25-3 กก.) แต่ขนาดที่ดีสำหรับการประกวดนั้นควรหนักประมาณ 4-6 ปอนด์ (1.7-2.5 กก.) ถ้าสุนัขหนักมากกว่าหรือน้อยกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ถือว่าผิดมาตรฐาน รูปร่างของสุนัขมีความสำคัญกว่าขนาดของสุนัข ช่วงตั้งแต่หน้าอกจนถึงสะโพกจะสั้นกว่าหรือเท่ากับส่วนสูงตั้งแต่ช่วงไหล่จน ถึงพื้น กระดูกมีขนาดปานกลาง
ศีรษะ : ขนาดของหัวต้องได้สัดส่วนกับลำตัว ช่วงปาก (MUZZLE) สั้นตรง หน้าดูคล้ายกับสุนัขจิ้งจอก (FOXY EXPRESSION) หัวกะโหลกปิด ช่วงบนของหัวกะโหลกจะกลมเล็กน้อยแต่ไม่โหนกนูน ถ้าเป็นปอมหน้าหมีกำลังเป็นที่นิยม ถ้ามองจากด้านหน้าและด้านข้างแล้วจะต้องเห็นหูที่มีขนาดเล็กอยู่ในตำแหน่ง ที่สูง (HIGH EARSET) และตั้งตรง รูปร่างปากจะมีลักษณะคล้ายรูปลิ่ม(WEDGE SHAPE) เส้นที่ลากจากจมูกไปถึงจุดหัก (STOP) จะต้องอยู่ตรงกลางระหว่างตาทั้งสองข้างและหูทั้งสองข้าง ตามีสีดำสนิท สดใส ขนาดปานกลาง คล้ายเมล็ดอัลมอนด์ (ALMOND SHAPE) สีของจมูกและขอบตาต้องดำสนิท ยกเว้นปอมฯ สีน้ำตาล BEAVER และ BLUE ฟันต้องกัดสบกันพอดี (SCISSORSBITE
นิสัยและอารมณ์ : สุนัขปอมฯ เป็นสุนัขที่เปิดเผย แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาด
คอ เส้นหลังและลำตัว : คอค่อนข้างสั้น ตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้ช่วงคอตั้งสูง แลดูสง่างาม ช่วงหลังสั้น มีระดับของเส้นหลัง หางมีตำแหน่งที่สูง (HIGH TAILSET) วางราบตรงอยู่บนหลัง
ลำตัวส่วนหน้า : ไหล่จะต้องมีการเอียงลาดลงเพียงพอ เพื่อให้สามารถชูคอและหัวได้สูงและสง่างาม ความยาวของช่วงไหล่และขาตอนบนต้องเท่ากัน ขาหน้าต้องตรงและขนานกัน ความยาวตั้งแต่ไหล่จนถึงข้อศอกต้องมีความยาวเท่ากับข้อศอกถึงพื้น ขาต้องตรงและแข็งแรง ไม่เอียงเข้าหรือเอียงออก
ลำตัวส่วนหลัง : ได้สัดส่วนกับลำตัวส่วนหน้า ตำแหน่งของหางจะต้องอยู่เหนือสะโพกค่อนมาทางด้านหน้าต้นขา ต้องมีกล้ามเนื้อแข็งแรงปานกลาง และมีส่วนหน้าของขาหลัง (STIFLES) มีมุม (ANGULATION) ที่โค้งงอพอสมควรรับกับส่วนน่อง (HOCK) ต้องตั้งฉากกับพื้น ถ้ามองจากด้านหลังขาทั้ง 2 ข้างต้องตรงและขนานกัน เท้ามีลักษณะโค้งมนกระชับ ไม่เอียง สุนัขต้องยืนอยู่ปลายเท้า (TOES) นิ้วติ่ง (DEWCLAWS) ถ้ามีควรตัดออก
การเคลื่อนไหว : การเดินหรือการเคลื่อนไหวต้องเป็นไปอย่างอิสระราบเรียบ นุ่มนวล แลดูแข็งแรง เวลาเดินขาหน้าต้องเหยียดตรงไม่งอพับขึ้น ข้อศอกไม่กางออก ส่วนขาหลังต้องไม่ถ่างออก ขาหลังจะเคลื่อนไปข้างหน้าในจังหวะเดียวกันกับขาหน้าที่เคลื่อนที่ไป
ขน : สุนัขปอมฯ มีขน 2 ชั้น คือ ขนชั้นใน (UNDERCOAT) ต้องนุ่มและแน่น ขนชั้นนอก(OUTTERCOAT) ต้องยาวตรงเป็นประกายและหยาบ ขนชั้นในที่หนาแน่นจะช่วยพยุงขนชั้นนอกให้ฟูไม่ลู่ เหยียดตรง ขนจะต้องหนาแน่นตั้งแต่ช่วงคอ หน้าอก ช่วงไหล่ด้านหน้า ขนช่วงหัวและขาจะแน่นแต่สั้นกว่าขนช่วงลำตัว ขนหางยาว หยาบและเหยียดตรง การตัดแต่งเล็มขนให้ดูสวยงามและดูเรียบร้อยไม่ถือเป็นข้อผิด
สี : สีที่ได้รับการยอมรับและรับรอง ควรได้รับการพิจารณาการตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน สีที่ได้รับการยอมรับได้แก่
1. สีใดๆ ก็ได้ที่ขึ้นเป็นสีเดียวกันทั้งตัว หรืออาจจะมีสีที่อ่อนหรือแก่กว่าแซมอยู่ด้วย (SELT-COLOR)
2. สีแซมกัน 2 สี (PARTI-COLOR) หมายถึงปอมฯ ที่มีสีขาวและมีสีอื่นแซมเป็นพื้นๆ กระจายเท่าๆ กันทั่วตัว และควรมีแถบสีขาวบนหัวด้วย
3. สีดำและน้ำตาล (BLACK AND TAN) หมายถึงปอมฯ มีสีดำที่มีสีน้ำตาลอยู่เหนือตาทั้ง 2 ข้างและปาก ลำคอ หน้าอก ใต้หาง ขาและเท้าทั้ง 4 ข้าง สีน้ำตาลนี้ยิ่งเข้มยิ่งดี
4. BRINDLE ได้แก่ปอมฯ ที่มีพื้น คือ สีทอง แดงหรือส้ม และมีสีดำแซมอยู่ทั่วทั้งตัว
จุดบกพร่อง :
1. กะโหลกกลม โหนกนูน ฟันล่างยื่น (UNDERSHOT MOUTH) หรือฟันบนยื่นจนเกินไป (OVERSHOT MOUTH)
2. ข้อเท้าราบกับพื้นมากเกินไป
3. ขาหลังที่หัวเข่าชิดกัน ปลายเท้าชี้ออก (COWHOCKS) หรือขาหลังที่บกพร่อง
4. ขนที่นิ่ม เหยียดตรงและแยกออกจนเห็นผิวหนังข้างใน (OPEN COAT)
น่ารัก น่ะ
ไวรัสคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์(computer virus)โดยมีการเรียกซ้ำแบบเดียวกับคำว่า ไวรัส ในตัวสิ่งมีชีวิต แต่เป็นคำเรียกแบบย่อของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีชุดคำสั่งระบบปฏิบัติการใดๆก็ตามเท่าที่โปรแกรมถูกเขียนขึ้นมาเพื่อการใดการหนึ่งทั้งที่มีประโยนช์ทางการทำงานตามผู้เขียนโปรแกรมนั้นขึ้นมา
ไวรัสคอมพิวเตอร์ ที่บุกรุกเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ส่วนมากมักจะมีประสงค์ร้ายและสร้างความเสียหายให้กับระบบของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ
ในเชิงเทคโนโลยีความมั่นคงของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ไวรัสเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำสำเนาของตัวเอง เพื่อแพร่ออกไปโดยการสอดแทรกตัวสำเนาไปในรหัสคอมพิวเตอร์ส่วนที่สามารถปฏิบัติการได้หรือข้อมูลเอกสาร ดังนั้นไวรัสคอมพิวเตอร์จึงมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกับไวรัสในทางชีววิทยา ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในลักษณะเดียวกันนี้ คำอื่นๆ ที่ใช้กับไวรัสในทางชีววิทยายังขยายขอบข่ายของความหมายครอบคลุมถึงไวรัสในทางคอมพิวเตอร์ เช่น การติดไวรัส (infection) แฟ้มข้อมูลที่ติดไวรัสนี้จะเรียกว่า โฮสต์ (host) ไวรัสนั้นเป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมประเภทมัลแวร์ (malware) หรือโปรแกรมที่มีประสงค์ร้าย ในความหมายที่ใช้กันทั่วไปนั้น ไวรัสยังใช้หมายรวมถึง เวิร์ม (worm) ซึ่งก็เป็นโปรแกรมอีกรูปแบบหนึ่งของมัลแวร์ ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นั้นสับสนเมื่อคำไวรัสนั้นใช้ในความหมายที่เฉพาะเจาะจง คอมพิวเตอร์ไวรัสนั้นโดยทั่วไปจะไม่ส่งผลก่อให้เกิดความเสียหายต่อฮาร์ดแวร์โดยตรง แต่จะทำความเสียหายต่อซอฟต์แวร์
ในขณะที่ไวรัสโดยทั่วไปนั้นก่อให้เกิดความเสียหาย (เช่น ทำลายข้อมูล) แต่ก็มีหลายชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญเท่านั้น ไวรัสบางชนิดนั้นจะมีการตั้งเวลาให้ทำงานเฉพาะตามเงื่อนไข เช่น เมื่อถึงวันที่ที่กำหนด หรือเมื่อทำการขยายตัวได้ถึงระดับหนึ่ง ซึ่งไวรัสเหล่านี้จะเรียกว่า บอมบ์ (bomb) หรือระเบิด ระเบิดเวลาจะทำงานเมื่อถึงวันที่ที่กำหนด ส่วนระเบิดเงื่อนไขนั้นจะทำงานเมื่อผู้ใช้คอมพิวเตอร์มีการกระทำเฉพาะซึ่งเป็นตัวจุดชนวน ไม่ว่าจะเป็นไวรัสชนิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ก็ตาม ก็จะมีผลเสียที่เกิดจากการแพร่ขยายตัวของไวรัสอย่างไร้การควบคุม ซึ่งจะเป็นการบริโภคทรัพยากรคอมพิวเตอร์อย่างไร้ประโยชน์ หรืออาจจะบริโภคไปเป็นจำนวนมาก
ไวรัสเป็นโปรแกรมประเภทที่สามารถแพร่ขยายตัวเองได้ วิธีการในการจำแนกว่าส่วนของโปรแกรมนั้นเป็นไวรัสหรือไม่ นั้นดูจากการที่โปรแกรมสามารถแพร่กระจายตัวได้โดยผ่านทางพาหะ (โฮสต์)
บ่อยครั้งที่ผู้คนจะสับสนระหว่างไวรัสกับเวิร์ม เวิร์มนั้นจะมีลักษณะของการแพร่กระจายโดยไม่ต้องพึ่งพาหะ ส่วนไวรัสนั้นจะสามารถแพร่กระจายได้ก็ต่อเมื่อมีพาหะนำพาไปเท่านั้น เช่น ทางเครือข่าย หรือทางแผ่นดิสก์ โดยไวรัสนั้นอาจฝังตัวอยู่กับแฟ้มข้อมูล และเครื่องคอมพิวเตอร์จะติดไวรัสเมื่อมีการเรียกใช้แฟ้มข้อมูลนั้น
เนื่องจากไวรัสในปัจจุบันนี้ได้อาศัยบริการเครือข่ายบนเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น เวิลด์ไวด์เว็บ อีเมล และระบบแฟ้มข้อมูลร่วมในการแพร่กระจายด้วย จึงทำให้ความแตกต่างของไวรัสและเวิร์มในปัจจุบันนั้นไม่ชัดเจน
ไวรัสสามารถติดพาหะได้หลายชนิด ที่พบบ่อยคือ แฟ้มข้อมูลที่สามารถปฏิบัติการได้ของซอฟต์แวร์ หรือส่วนระบบปฏิบัติการ ไวรัสยังสามารถติดไปกับบู๊ตเซคเตอร์ของแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ แฟ้มข้อมูลประเภทสคริปต์ ข้อมูลเอกสารที่มีสคริปต์มาโคร นอกเหนือจากการสอดแทรกรหัสไวรัสเข้าไปยังข้อมูลดั้งเดิมของพาหะแล้ว ไวรัสยังสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลเดิมในพาหะ และอาจทำการแก้ไขให้รหัสไวรัสถูกเรียกขึ้นมาทำงานเมื่อพาหะถูกเรียกใช้งาน อันที่จิงไม่ใช่
ประเภทของไวรัสคอมพิวเตอร์
บูตไวรัสบูตไวรัส (boot virus) คือไวรัสคอมพิวเตอร์ที่แพร่เข้าสู่เป้าหมายในระหว่างเริ่มทำการบูตเครื่อง ส่วนมาก มันจะติดต่อเข้าสู่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ระหว่างกำลังสั่งปิดเครื่อง เมื่อนำแผ่นที่ติดไวรัสนี้ไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ไวรัสก็จะเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ตอนเริ่มทำงานทันที
บูตไวรัสจะติดต่อเข้าไปอยู่ส่วนหัวสุดของฮาร์ดดิสก์ ที่มาสเตอร์บูตเรคคอร์ด (master boot record) และก็จะโหลดตัวเองเข้าไปสู่หน่วยความจำก่อนที่ระบบปฏิบัติการจะเริ่มทำงาน ทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไฟล์ไวรัสไฟล์ไวรัส (file virus) ใช้เรียกไวรัสที่ติดไฟล์โปรแกรม เช่นโปรแกรมที่ดาวน์โหลดจากอินเทอร์เน็ต นามสกุล.exe โปรแกรมประเภทแชร์แวร์เป็นต้น
หนอนหนอน (Worm) เป็นรูปแบบหนึ่งของไวรัส มีความสามารถในการทำลายระบบในเครื่องคอมพิวเตอร์สูงที่สุดในบรรดาไวรัสทั้ง หมด สามารถกระจายตัวได้รวดเร็ว ผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่าหนอนนั้น คงจะเป็นลักษณะของการกระจายและทำลาย ที่คล้ายกับหนอนกินผลไม้ ที่สามารถกระจายตัวได้มากมาย รวดเร็ว และเมื่อยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ระดับการทำลายล้างยิ่งเพิ่มมากขึ้น
โทรจันม้าโทรจัน (Trojan) คือโปรแกรมจำพวกหนึ่งที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแอบแฝง กระทำการบางอย่าง ในเครื่องของเรา จากผู้ที่ไม่หวังดี ชื่อเรียกของโปรแกรมจำพวกนี้ มาจากตำนานของม้าไม้แห่งเมืองทรอยนั่นเอง ซึ่งการติดนั้น ไม่เหมือนกับไวรัส และหนอน ที่จะกระจายตัวได้ด้วยตัวมันเอง แต่โทรจัน (คอมพิวเตอร์)จะถูกแนบมากับ อีการ์ด อีเมล์ หรือโปรแกรมที่มีให้ดาวน์โหลดตามอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ใต้ดิน และสุดท้ายที่มันต่างกับไวรัสและเวิร์ม คือ มันจะสามารถเข้ามาในเครื่องของเรา โดยที่เราเป็นผู้รับมันมาโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
ไวรัสน่ากลัว
วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554
ครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น
ครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่ยังดำเนินเรื่องอยู่ เรื่องและภาพโดย อากิระ อามาโนะ โครงเรื่องมีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของ ซาวาดะ สึนะโยชิ เด็กนักเรียนธรรมดาจนกระทั่ง "รีบอร์น" นักฆ่ามือของวองโกเล่ แฟมิลี่ มาเฟีย แห่งอิตาลี ได้มาทำการฝึกฝนให้สึนะเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟีย รุ่นที่ 10 ของวองโกเล่ แฟมิลี โดยเริ่มตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่น ลงในนิตยสารรายสัปดาห์ โชเน็นจัมป์ โดยติดหนึ่งในอันดับขายดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และฉบับรวมเล่มโดยสำนักพิมพ์ชูเอฉะ และยังมีการจัดทำภาพยนตร์การ์ตูนครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น! ซึ่งผลิตโดยบริษัทอาร์ทแลนด์ ออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2549 จนถึง 25 กันยายน พ.ศ. 2553 ทางช่องทีวีโตเกียว
ในประเทศไทย ครูพิเศษจอมป่วน รีบอร์น! สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์คอมิกส์ ได้ทำการซื้อลิขสิทธิ์ ตีพิมพ์ลงในนิตยสารการ์ตูนซีคิดส์ รายสัปดาห์ และ ฉบับรวมเล่ม 26 เล่ม
ส่วนภาพยนตร์การ์ตูนได้รับลิขสิทธิ์โดยบริษัท โรส มีเดีย แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ มีการวางจำหน่ายทั้งในรูปแบบวีซีดีและดีวีดี และได้รับการออกอากาศทางช่องแก๊งการ์ตูน แชนแนล
ตัวละคร
รีบอร์น
ซาวาดะ สึนะโยชิ
โกคุเทระ ฮายาโตะ
ยามาโมโตะ ทาเคชิ
ซาซางาวะ เรียวเฮ
ฮิบาริ เคียวยะ
แรมโบ้
โรคุโด มุคุโร่
โครม โดคุโร
โจชิมะ เคน
คาคิโมโตะ จิกุสะ
ลันเชีย
M.M
เบิร์ด
จิจี้กับจิจิ
วาเรีย
ซันซัส
สเปลบี สควอโล่
เบลเฟกอล
มาม่อน
เลวี่ อาแทน
ลูซซูเรีย
โกร่า มอสก้า
ฟราน
ที่ปรึกษานอกแก๊งค์
Alaude(อเลาดิ)
ซาวาดะ อิเอมิสึ
บาจิล
โมเร็ตตี
โอเรกาโนะ
ทาเมริค
รัล มิลจิ
คาบัคโรเน่ ดีโน่
โรมาริโอ้
อีวาน
โบโน่
เบียงกี้
ฟูตะ
ซาซางาวะ เคียวโกะ
วองโกเล่แฟมิลี
วองโกเล่รุ่นที่สอง
วองโกเล่รุ่นที่สาม
วองโกเล่รุ่นที่สี่
วองโกเล่รุ่นที่ห้า
วองโกเล่รุ่นที่หก
วองโกเล่รุ่นที่เจ็ด
วองโกเล่รุ่นที่แปด
วองโกเล่รุ่นที่เก้า
วองโกเล่รุ่นที่สิบ
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก คือ สิ่งก่อสร้างที่มีความยิ่งใหญ่และโดดเด่น ทั้งหมด 7 แห่งด้วยกัน โดยมีการกล่าวถึงครั้งแรกในงานของเฮโรโดตุส (Herodotos หรือ Herodotus เมื่อราว 5 ศตวรรษก่อนคริสตกาล แต่หลังจากนั้นก็การอ้างถึงจากกวีชาวกรีก เช่น คัลลิมาฆุส แห่งคีเรนี, อันทิพาเตอร์ แห่งซีดอน และฟิโล แห่งไบเซนไทน์ เมื่อราวศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ หรือสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลก ในบัญชีแรก เรียกกันว่า เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ และหลังจากนั้น ยังมีบัญชีเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางและยุคปัจจุบัน โดยไม่ปรากฏผู้จัดทำรายการอย่างชัดเจน
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ
1.มหาพีระมิดแห่งกีซา ของกษัตริย์คูฟู ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ในอียิปต์ มีอายุราว 2,690 ปีก่อนคริสตกาล หรือเก่าแก่กว่านั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เก่าแก่ที่สุด และยังคงปรากฏอยู่จนปัจจุบัน และมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์
2.สวนลอยแห่งบาบิโลน สร้างโดยพระเจ้าเนบูคาดเนสซาร์ที่ 2 เมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 6 ปัจจุบันไม่ปรากฏหลักฐานหรือซาก แต่คาดว่าน่าจะอยู่บริเวณเดียวกับกรุงบาบิโลนในประเทศอีรัก
3.เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย ที่เมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีก สร้างเมื่อประมาณ 462 ปีก่อนคริสตกาล สร้างและตกแต่งด้วยทองคำ งาช้าง และอัญมณีต่างๆ มีความสูง 12 เมตร ภายหลังแผ่นดินไหวเสียหายจนหมดสิ้น
4.วิหารอาร์เทอมีส (หรือ วิหารไดอานา) ที่เอเฟซุสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษก่อนคริสตกาลที่ 4 ภายหลังถูกทำลายโดยพวกโกธส์จากเยอรมันที่บุกเข้ามาโจมตี เมื่อปี พ.ศ. 805 ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง
5.สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส ที่ฮาลิคาร์นัสซัสในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกี) สร้างโดยพระราชินีอาร์เทมิเซีย เป็นอนุสรณ์สถานแก่กษัตริย์มอโซลุสแห่งคาเรียที่สวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวและต่อมานำไปใช้ในการก่อสร้างโดยอัศวินแห่งโรดส์ ปัจจุบันพอเหลือซากอยู่บ้าง
6.เทวรูปโคโลสซูส ในทะเลเอเจียน ประเทศกรีก เป็นรูปสำริดขนาดใหญ่ของสุริยเทพ หรือเฮลิเอิส สูงประมาณ 32 เมตร ถูกทำลายโดยแผ่นดินไหวหลังการสร้างเพียง 60 ปี ปัจจุบันไม่ปรากฏซาก
7.ประภาคารฟาโรส แห่ง อเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ สมัยพระเจ้าปโตเลมี ประมาณ 271 ปีก่อนคริสตกาล ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงเมื่อแผ่นดินไหวในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันมีป้อมขนาดเล็กอยู่บนซากที่เหลือ
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง
สิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดจัดเป็นสิ่งก่อสร้างของโลกสมัยกลาง ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครได้กำหนดไว้ และรายการในยุคกลางก็ระบุไว้ไม่ตรงกัน แต่โดยมากจะยอมรับกับรายการต่อไปนี้
1.โคลอสเซียม สนามกีฬาแห่งกรุงโรม ประเทศอิตาลี
2.หลุมฝังศพแห่งอะเล็กซานเดรีย สุสานใต้ดินเมืองอะเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์
3.กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน
4.สโตนเฮนจ์ ในอังกฤษ
5.เจดีย์กระเบื้องเคลือบ เมืองหนานกิง ประเทศจีน
6.หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี
7.สุเหร่าโซเฟีย แห่งคอนสแตนติโนเปิล (ปัจจุบันคือ กรุงอีสตันบูล) ประเทศตุรกี
เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบัน
1.อุโมงค์รถไฟใต้ทะเล ประเทศอังกฤษ-ฝรั่งเศส
2.ซีเอ็น ทาวเวอร์ ประเทศแคนาดา
3.เขื่อนอิไตปู ประเทศบราซิล-ปารากวัย
4.ตึกเอ็มไพร์สเตต ประเทศสหรัฐอเมริกา
5.เดลต้า เวิร์ค ประเทศเนเธอร์แลนด์
6.สะพานโกลเดนเกต ประเทศสหรัฐอเมริกา
7.คลองปานามา ทวีปอเมริกาใต้
คาถาขุนแผน คาถาหัวใจขุนแผน คาถาปลุกขุนแผน คาถาพระขุนแผน
คาถาขุนแผน คาถาหัวใจขุนแผน คาถาปลุกขุนแผน คาถาพระขุนแผน
คาถาขุนแผน
เอหิมะมะ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ
(ใช้ท่องกับของใช้ส่วนตัวอะไรก็ได้แล้วจะทำให้มีเสน่ห์เป็นที่หลงไหล)
คาถาบูชาขุนแผน
สุนะโมโร โมโรสุนะ นะมะพะธะ จะพะกะสะ นะมามิหัง
คาถาขุนแผน (หลวงพ่อกวย)
อมสิทธิ ท้าวฟื้นเจริญศรี หน้ากูงามคือพระแมน ณะมะพะทะ
แขนกูงามคือพระนาราย ฉายกูงามคือพระอาทิตย์ ฤทธิกูงามคือพระจัน
สาวในเมืองสวันเห็นหน้ากูอยู่มิได้ กูมาระลึกถึงฝูงหงษ์มาลืมข้ามคูหา
กูมาระลึกถึงมหาเสนา ก็มาลืมแท่นที่นอน กูมาระลึกถึงลูกไก่อ่อน ก็วิ่งตามกูมา
กูมาระลึกถึงสาวใช้ก็มาลืมแม่ กูมาระลึกถึงสาวแก่ก็มาหลงไหล
กูมาระลึกถึงเจ้าทัยเทวีก็มาลืมสวดมนต์ กูมาระลึกถึงฝูงคนก็มารักกูอยู่ทั่วหน้าทั่วชั้นฟ้าและพื้นดิน
เหมือนช้างรักงา ปลารักน้ำ เข้าอยู่ในดง ผมก็ลืมเกล้า ข้าวอยู่ในคอก็ลืมกลืน
ให้สะอื้นคิดถึงตัวกู อยู่ทุกเวลาและราตรี อิติลีกันหาชูชะโกโมกรุณาพุทปราณี ทายินดี
ยะเอ็นดู เอหิกะระนิโย อิติพิโส พะคะวาณะลีติ อิติมานิยม
รวมคาถาขุนแผน คาถาหัวใจขุนแผน ต่างๆมากมาย
คาถาหัวใจขุนแผนรักแท้
*โอมนะโมพุทธายะ พุทธัง สะระติ ธัมมัง สะระติ สังฆัง สะระติจิตตังสะมาเรมะมะเอทิ เอหิชัยยะ เอหิสัพเพชะนา พะหูชะนา เอหิ
(ให้บริกรรมคาถานี้กับลูกอมแล้วอมขณะที่คุยกับคนที่เรารัก จะทำให้เขาคนนั้นเกิดความรักจริงจังขึ้นมา)
คาถาหัวใจขุนแผนมัดใจ
*พุทธัง รัตตะนัง ธัมมัง รัตตะนัง สังฆัง รัตตะนัง นะผูก โมมัด พุทรัด ธารึง ยะกรึงคะเร โอมสวาหะ
(ใช้สวดภาวนาก่อนนอน ทำให้คนรักคิดถึง)
คาถาหัวใจขุนแผนใจอ่อน
*ปัญจะมังสิระสังชาตัง นะอตใจ นะกาโร โหติ สัมภะโวตรีนิกัตวานะ นะ การัง ปัญจะสัมภะวัง
(ใช้ท่องก่อนที่จะพบเจรจากับคนที่เป็นเจ้าหนี้หรือใครก็ตาม จะทำให้ได้รับการผ่อนปรน ใจอ่อนได้ทุกที)
คาถาหัวใจขุนแผนผูกใจคน
* โอมนะโมพุทธะ นะ มะ อะ อุ เอหิชัยยะ เอหิสัพเพชะนา พะหูชะนา เอหิ
(ใช้สวดเมื่อต้องการให้คนทั่วไปรักใคร่ยินดี ใช้เสกกับแป้งหรือน้ำหอมก็ได้)
คาถาหัวใจขุนแผนมหาเสน่ห์
*จันโทอะภกันตะโรปิติ ปิโย เทวะมนุสสานังอิตภิโยปุริ โสมะ อะ อุ อุ มะ อะ อิสวาสุ อิกะวิติ
(ให้ภาวนาคาถานี้ ๓ จบก่อนออกไปพบคน จะทำให้คนที่ต้องไปพบเกิดความรักใคร่)
คาถาหัวใจขุนแผนป้องกันตัว
*ปัญจะมัง สิระสังชาตัง นะกาโร โหติ สัมภะโวพินธุ ทัณฑะ เภทะ อังกุ สิริ นะโมพุทธายะ
(ใช้ท่องภาวนาเป่าใส่มือ แล้วตบมือดังๆ จะทำให้ปลอดภัยจากอันตรายไม่ว่าคนหรือสัตว์)
คาถาขุนแผนป้องกันผี
*นะโมพุทธายะ มะพะ ทะนะ ภะ กะ สะ จะสัพเพทวาปีสาเจวะ อาฬะวะกาทะโยปิยะขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา สัพเพยักขาปะลายันติ สักกัสสะ วะชิราวุธังเวสสุวัณณัสสะ คะธาวุธังอะฬะวะกัสสะ ทุสาวุธังยะมะนัสสะ นะยะนาวุธังอิเมทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ
คาถาขุนแผนหนังเหนียว
*สุกิตติมา สุภาจาโร สุสีละวา สุปากะโต อัสสะสิมา วะเจธะโร เกสะ โรวา อะสัมภิโต
(ใช้สวดภาวนาคาถานี้กับน้ำมันทาถูร่างกายจะทำให้อาการฟกช้ำหายเร็ว หรือก่อนออกศึกใดๆ จะทำให้หนังเหนียวไม่บาดเจ็บง่าย)
คาถาขุนแผนข่มศัตรู
*ตะโต โพธิสัตโต ราชะสิงโหวะมหิทธิโกอะระหัง ตะมัตทังปะกาเสนโตราชะสิงโห สัตถาอาหะ นะโมพุทธายะ นะมามิสุคะตังชินัง
(ใช้บริกรรมคาถาเมื่อจะต้องไปเจอศัตรู จะทำให้ศัตรูเกรงกลัว - ท่อง ๓ จบแล้วกระทืบเท้าดังๆ ก่อนออกจากบ้านเหมือนกับพิธีตัดไม้ข่มนาม)
คาถาขุนแผนเสกขี้ผึ้ง
*มทุจิตตัง สุวามุปขังทิตสวานิมามัง ปิยังมะมะเมตตา ชิวหายะมะ ทุรังทะตวาจาจัง สุตทังสุตตะวา
สัพเพชะนาพะ หุชะนาอิตถีชะนาสัมมะนุนะ พรามมะนา นุนะปะสังสันติ
(ใช้ภาวนากับขี้ผึ้งหรือลิปสติก จะทำให้คนรักเชื่อฟัง)
คาถาขุนแผนหมัดหนัก
*โสภะคะวา อะทิสะมานิ อุเทยยัง คัจฉันตัพพังสังลารัง ปะระมัง สุขัง นะลัพภะติมหาสูญโญ จะสัมภะโต สังสาเร อานังคัจฉันติ
(ใช้ภาวนาเมื่อต้องการให้หมัดหนัก ไม่ใช่นักมวยก็ใช้ได้)
คาถาหัวใจขุนแผนสาริกาลิ้นทอง
*พุทธา อะเนนา มะลิยา สุสังคะเยมิ พุทธา อิริมะลิยา สุสังคะเยมิ พุทธา อิรปะโย เคมะคุณนะ ปักเขสะเมมะมิ อุนาโลมา ปันนะ วิชายะเต
(ใช้สวดภาวนาหากต้องการให้คนรักใคร่ พูดจาเป็นเสน่ห์ ตอนท่องถึงคำว่า มิ ก็ให้แตะที่ลิ้นด้วยทุกครั้ง)
คาถาขุนแผน
เอหิมะมะ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ
(ใช้ท่องกับของใช้ส่วนตัวอะไรก็ได้แล้วจะทำให้มีเสน่ห์เป็นที่หลงไหล)
คาถาบูชาขุนแผน
สุนะโมโร โมโรสุนะ นะมะพะธะ จะพะกะสะ นะมามิหัง
คาถาขุนแผน (หลวงพ่อกวย)
อมสิทธิ ท้าวฟื้นเจริญศรี หน้ากูงามคือพระแมน ณะมะพะทะ
แขนกูงามคือพระนาราย ฉายกูงามคือพระอาทิตย์ ฤทธิกูงามคือพระจัน
สาวในเมืองสวันเห็นหน้ากูอยู่มิได้ กูมาระลึกถึงฝูงหงษ์มาลืมข้ามคูหา
กูมาระลึกถึงมหาเสนา ก็มาลืมแท่นที่นอน กูมาระลึกถึงลูกไก่อ่อน ก็วิ่งตามกูมา
กูมาระลึกถึงสาวใช้ก็มาลืมแม่ กูมาระลึกถึงสาวแก่ก็มาหลงไหล
กูมาระลึกถึงเจ้าทัยเทวีก็มาลืมสวดมนต์ กูมาระลึกถึงฝูงคนก็มารักกูอยู่ทั่วหน้าทั่วชั้นฟ้าและพื้นดิน
เหมือนช้างรักงา ปลารักน้ำ เข้าอยู่ในดง ผมก็ลืมเกล้า ข้าวอยู่ในคอก็ลืมกลืน
ให้สะอื้นคิดถึงตัวกู อยู่ทุกเวลาและราตรี อิติลีกันหาชูชะโกโมกรุณาพุทปราณี ทายินดี
ยะเอ็นดู เอหิกะระนิโย อิติพิโส พะคะวาณะลีติ อิติมานิยม
รวมคาถาขุนแผน คาถาหัวใจขุนแผน ต่างๆมากมาย
คาถาหัวใจขุนแผนรักแท้
*โอมนะโมพุทธายะ พุทธัง สะระติ ธัมมัง สะระติ สังฆัง สะระติจิตตังสะมาเรมะมะเอทิ เอหิชัยยะ เอหิสัพเพชะนา พะหูชะนา เอหิ
(ให้บริกรรมคาถานี้กับลูกอมแล้วอมขณะที่คุยกับคนที่เรารัก จะทำให้เขาคนนั้นเกิดความรักจริงจังขึ้นมา)
คาถาหัวใจขุนแผนมัดใจ
*พุทธัง รัตตะนัง ธัมมัง รัตตะนัง สังฆัง รัตตะนัง นะผูก โมมัด พุทรัด ธารึง ยะกรึงคะเร โอมสวาหะ
(ใช้สวดภาวนาก่อนนอน ทำให้คนรักคิดถึง)
คาถาหัวใจขุนแผนใจอ่อน
*ปัญจะมังสิระสังชาตัง นะอตใจ นะกาโร โหติ สัมภะโวตรีนิกัตวานะ นะ การัง ปัญจะสัมภะวัง
(ใช้ท่องก่อนที่จะพบเจรจากับคนที่เป็นเจ้าหนี้หรือใครก็ตาม จะทำให้ได้รับการผ่อนปรน ใจอ่อนได้ทุกที)
คาถาหัวใจขุนแผนผูกใจคน
* โอมนะโมพุทธะ นะ มะ อะ อุ เอหิชัยยะ เอหิสัพเพชะนา พะหูชะนา เอหิ
(ใช้สวดเมื่อต้องการให้คนทั่วไปรักใคร่ยินดี ใช้เสกกับแป้งหรือน้ำหอมก็ได้)
คาถาหัวใจขุนแผนมหาเสน่ห์
*จันโทอะภกันตะโรปิติ ปิโย เทวะมนุสสานังอิตภิโยปุริ โสมะ อะ อุ อุ มะ อะ อิสวาสุ อิกะวิติ
(ให้ภาวนาคาถานี้ ๓ จบก่อนออกไปพบคน จะทำให้คนที่ต้องไปพบเกิดความรักใคร่)
คาถาหัวใจขุนแผนป้องกันตัว
*ปัญจะมัง สิระสังชาตัง นะกาโร โหติ สัมภะโวพินธุ ทัณฑะ เภทะ อังกุ สิริ นะโมพุทธายะ
(ใช้ท่องภาวนาเป่าใส่มือ แล้วตบมือดังๆ จะทำให้ปลอดภัยจากอันตรายไม่ว่าคนหรือสัตว์)
คาถาขุนแผนป้องกันผี
*นะโมพุทธายะ มะพะ ทะนะ ภะ กะ สะ จะสัพเพทวาปีสาเจวะ อาฬะวะกาทะโยปิยะขัคคัง ตาละปัตตัง ทิสวา สัพเพยักขาปะลายันติ สักกัสสะ วะชิราวุธังเวสสุวัณณัสสะ คะธาวุธังอะฬะวะกัสสะ ทุสาวุธังยะมะนัสสะ นะยะนาวุธังอิเมทิสวา สัพเพยักขา ปะลายันติ
คาถาขุนแผนหนังเหนียว
*สุกิตติมา สุภาจาโร สุสีละวา สุปากะโต อัสสะสิมา วะเจธะโร เกสะ โรวา อะสัมภิโต
(ใช้สวดภาวนาคาถานี้กับน้ำมันทาถูร่างกายจะทำให้อาการฟกช้ำหายเร็ว หรือก่อนออกศึกใดๆ จะทำให้หนังเหนียวไม่บาดเจ็บง่าย)
คาถาขุนแผนข่มศัตรู
*ตะโต โพธิสัตโต ราชะสิงโหวะมหิทธิโกอะระหัง ตะมัตทังปะกาเสนโตราชะสิงโห สัตถาอาหะ นะโมพุทธายะ นะมามิสุคะตังชินัง
(ใช้บริกรรมคาถาเมื่อจะต้องไปเจอศัตรู จะทำให้ศัตรูเกรงกลัว - ท่อง ๓ จบแล้วกระทืบเท้าดังๆ ก่อนออกจากบ้านเหมือนกับพิธีตัดไม้ข่มนาม)
คาถาขุนแผนเสกขี้ผึ้ง
*มทุจิตตัง สุวามุปขังทิตสวานิมามัง ปิยังมะมะเมตตา ชิวหายะมะ ทุรังทะตวาจาจัง สุตทังสุตตะวา
สัพเพชะนาพะ หุชะนาอิตถีชะนาสัมมะนุนะ พรามมะนา นุนะปะสังสันติ
(ใช้ภาวนากับขี้ผึ้งหรือลิปสติก จะทำให้คนรักเชื่อฟัง)
คาถาขุนแผนหมัดหนัก
*โสภะคะวา อะทิสะมานิ อุเทยยัง คัจฉันตัพพังสังลารัง ปะระมัง สุขัง นะลัพภะติมหาสูญโญ จะสัมภะโต สังสาเร อานังคัจฉันติ
(ใช้ภาวนาเมื่อต้องการให้หมัดหนัก ไม่ใช่นักมวยก็ใช้ได้)
คาถาหัวใจขุนแผนสาริกาลิ้นทอง
*พุทธา อะเนนา มะลิยา สุสังคะเยมิ พุทธา อิริมะลิยา สุสังคะเยมิ พุทธา อิรปะโย เคมะคุณนะ ปักเขสะเมมะมิ อุนาโลมา ปันนะ วิชายะเต
(ใช้สวดภาวนาหากต้องการให้คนรักใคร่ พูดจาเป็นเสน่ห์ ตอนท่องถึงคำว่า มิ ก็ให้แตะที่ลิ้นด้วยทุกครั้ง)
ประวัติของรถเต่า ( Volkswaken )
จุดกำเนิดของvolkswagen เริ่มต้นตั้งแต่ที่ ย้อนหลังเมื่อประมาณปี 1930 ในยุคที่โลกของเราอยู่ในสภาวะวิกฤต คือ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศเยอรมัน ในฐานะเป็นผู้นำกลุ่มอักษะ ได้ใช้ยุทธวิธีทั้งกำลังพลและกำลังอาวุธที่มากด้วยประสิทธิภาพ แล้วส่งไปตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญทั่วภูมิภาค เพื่อหวังจะยึดครองโลกหนึ่งในบรรดาจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญนั้นเป็นพื้นที่ทะเลทราย ซึ่งต้องอาศัยพาหนะที่ใด้อย่างเหมาะสมกับทุกสภาพ...
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำสงครามฝ่ายอักษะ ได้สั่งให้ ดร.นอร์ท โฮป ร่วมกับวิศวกรชาวเยอรมันอีกท่าน คือ ดร.เฟอร์ดินัน ปอร์เช่ ผู้ออกแบบรถปอร์เช่ ให้ร่วมกันออกแบบรถเพื่อใช้เป็นยานพาหนะในการทำศึกสงครามกลางทะเลทราย และรถคันนั้นก้อคือ รถโฟล์กสวาเก้น หรือเจ้าเต่าทองนั่นเอง และ ณ จุดนี้เอง ที่รถโฟล์กสวาเกนกำหนดขึ้น
ในปี 1938 รถโฟล์กคันแรกถูกผลิตออกมาให้ประชาชนได้ใช้งานกันอย่างจริงจังด้วยคำสั่งของฮิตเลอร์ที่ว่า ต้องเป็นรถของประชาชนตามชื่อของรถ เพราะคำว่าVolk ในภาษาเยอรมัน แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ประชาชน ส่วนคำว่า wagen นั้นแปลว่า รถยนต์ ดังนั้น รถโฟล์กคันนี้จะต้องเป็นรถที่จุคนได้ 4-5 คน ต้องกินน้ำมันน้อยต้องทนทานได้นานที่สุด ต้องวิ่งเร็วพอสมควร และที่สำคัญที่สุดต้องราคาถูกด้วยสำหรับต้นกำเนิดโฟล์กสวาเกนในเมืองไทย ผู้บุกเบิกเป็นคนแรก คือ หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และได้เดินทางไปเยี่ยมน้องชาย คือ หม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ รังสิต ซึ่งไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน ณ ที่นั่น ท่านได้มีโอกาศรู้จักกับดร.นอร์ท โฮป ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานบริษัทโฟล์ค ก้อได้มีการพูดคุยกัน และได้ปรึกษาหารือกับท่านว่า ให้ท่านเป็นตัวแทนจำหน่ายรถโฟล์กในประเทศไทย เพราะตอนนั้นยังไม่มีการนำรถโฟล์กในประเทศไทย เป็นรายแรกทั้งๆที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการขายรถมาก่อน
ปี 1953 หรือ พ.ศ. 2496 บริษัท ประชายนต์ จำกัด จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา และที่มาของบริษัทนี้ มาจากรากศัพท์ของคำว่า Volk และ Wagen ที่แปลว่า รถของประชาชนนั่นเอง เมื่อแรกเริ่มของธุรกิจขายรถนั้น ท่านได้ร่วมบริหารงานกับหม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ รังสิตผู้เป็นน้องชาย จากกิจการที่ไม่ใหญ่โตนัก มีเพียงรถโฟล์ค จากนั้นจึงเริ่มขยายกิจการ โดยได้นำเข้ารถยนต์เเพิ่มขึ้นอย่างเช่น Audi,BMW,Mercedez benz และ Porsche โดยพื้นที่ตั้งของสำนักงานอยู่ที่หัวมุมถนนหลวง ตรงข้ามวัดเทพศิรินทราวาส จนสุดถนนด้านแยกพลับพลาชัย และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ท่านพ่อได้มีการขยายกิจการจัดตั้งบริษัท ประมวลธุรกิจ จำกัด ขึ้นอีกแห่ง ซึ่งยังคงดำเนินกิจการ ขายรถยนต์เช่นกัน รวมถึงการจัดตั้งตัวแทนจำหน่าย ไปยังจังหวัดใหญ่ๆ ของแต่ละภูมิภาค จนในที่สุด ได้มีการขยายกิจการไปถึงประเทศลาว
ในช่วงต้นของการบุกเบิกธรุกิจ เป็นช่วงที่ทำตลาดได้ดีมาก แต่พอช่วงปี 1972 ชื่อบริษัท ประชายนต์ จำกัด ได้หายไปจากวงการรถยนต์ อันเนื่องมาจากปัญหาภายในบริษัท จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อู่นพวงศ์(2517) จำกัด และเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการมาเป็นอู่ซ่อมรถ และรับตรวจสภาพรถโฟล์กที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ณ ช่วงเวลานั้น โดยหม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิตยังคงเป็นผู้บริหาร
หลังจากที่ดำเนินธุรกิจอู่ซ่อมรถภายใต้ชื่อ บริษัท อู่นพวงศ์(2517) จำกัด จนถึงปี 2533 องค์ท่านถึงแก่ชีพิตักษัย ลูกชายคนเดียวของท่านจึงได้เข้ามารับช่วงต่อ โดยยังคงแนวทางการดำเนินธุรกิจ ให้เหมือนสมัยที่ท่านสร้างไว้ คือให้บริการซ่อมและตรวจสภาพรถโฟล์กทุกรุ่น แต่ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น Showtime VW และได้เพิ่มบริการอีกแขนงคือ รับตกแต่งรถโฟล์ก ให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งมีผู้เคยถามท่านว่า จะทรงเกษียณอายุเมื่อใด ท่านรับสั่งว่า"คิดว่าเมื่อสิ้นชีวิต เพราะจะทำไปตลอดจนกว่าจะหมดความสามารถที่จะทำ"
หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ประสูติ ณ วังไม้ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2456 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 13 ค่ำ เดือนอ้าย เวลา 6.35 นาฬิกา ทรงเป็นโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร (พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาหม่อมราชวงศ์เนื่อง สนิทวงศ์) และหม่อมเอลิซาเบธ รังสิต ณ อยุธยา ทรงมีอนุชา 1 องค์ และขนิษฐา 1 องค์ คือหม่อมเจ้าสนิทประยูรศักดิ์ และหม่อมเจ้าจารุลักษณ์กัลยาณทรงอภิเสกสมรสกับหม่อมราชวงศ์ผ่องลักษณ์ ทองใหญ่ ทรงมีธิดา 1 คน คือหม่อมราชวงศ์เยาวลักษณ์ทรงรับพระราชทานเสกสมรสกับหม่อมเจ้าวิภาวดี รัชนี (พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต)ทรงมีธิดา 2 คน คือ หม่อมราชวงศ์วิภานันท์ และหม่อมราชวงศ์ปรียานันทนายังทรงมีบุตรกับ บุญพิทักษ์ แสงฤิทธิ์(หม่อมพิทักษ์) คือ หม่อมราชวงศ์ประทักษ์ หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต ถึงชีพิตักษัยด้วยพระหทัยวาย ณ เชียงหใม่ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2533 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเมีย เวลา 0.20 นาฬิกา ชนมายุ 76 ปี เดือน 6วัน
การศึกษา
ปี พ.ศ.2465 ระดับประถมศึกษาตอนต้น-ตอนปลาย ที่ โรงเรียนเทพศิรินทร์, กรุงเทพฯ ประเทศไทย
ปี พ.ศ.2467ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่ โรงเรียนเทพศิรินทร์,กรุงเทพฯ ประเทศไทย
ปี พ.ศ.2468ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ Freies Gumnasuim,ซูริค,สวิวเซอร์แลนด์
ปี พ.ศ.2481 ระดับอุดมศึกษามหาบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์,สหรัฐอเมริกา
ธุรกิจ
ปี พ.ศ.2497บริษัท ประชายนต์ จำกัด เป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถนำเข้าจากต่างประเทศ อันได้แก่ โฟล์กสวาเก้น,ออดี้,พอร์เช่,ฺbmw
ปี พ.ศ.2513 บริษัท ประมวณธนกิจ จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลือ ด้านสินเชื่อกับผู้ซื้อรถยนต์โดยการเช่าซื้อ
ปีพ.ศ.2513 บริษัท อู่นพวงษ์ (2517)จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการรับซ่อมรถยนต์และขายอะไหล่
ปี พ.ศ.2523 บริษัท ป.รังสิต จำกัด เป็นบริษัทที่ต้งขึ้นเพื่อก่อสร้างอาคารชุด เพื่อประชาชนที่มีรายได้ปานกลาง อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ
เปิดตำนาน SR
เปิดตำนาน Yamaha สายพันธุ์ SR 400/500
ทำไมรถรุ่นนี้ถึงได้มีอายุการผลิตที่ยาวนานเกือบ30ปี ?ทำไมถึงมีการปรับเปลี่ยนโฉม(Minor Change) ทั้งหมด 21ครั้งตั้งแต่เริ่มผลิตจนถึงปัจจุบัน ทำไมมันถึงไม่ยอมตกยุคหนำซ้ำยังได้รับความกระแสความน ิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องที่น่าศึกษาและค้นคว้า และนี่คือตำนาน
Yamaha ตระกูล SR 400/500 ได้เริ่มสายการผลิตในครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1978 โดยเริ่มผลิตด้วยรุ่น 500 ก่อน ซึ่งได้ใช้เครื่องยนต์ของรถแนววิบากรุ่นพี่คือ Yamaha XT 500 (เริ่มผลิตปี 1976) เป็นต้นแบบ หลังจากนั้นจึงผลิตรุ่น 400 ตามออกมา
ด้วยการออกแบบรูปทรงเพื่อสนองความต้องการในยุคสมัยนั ้น (ยุครุ่งเรืองของรถมอเตอร์ไซค์จากเมืองผู้ดีอังกฤษ)
เครื่องยนต์สี่จังหวะสูบเดียว 400และ500cc. ระบบการไหลเวียนของน้ำมันเครื่องโดยใช้เฟรมของตัวรถ ซึ่งเป็นที่ต้องตาต้องใจวัยรุ่นยุคนั้นอยู่ไม่น้อยเล ยทีเดียว และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ได้มีการปรับเปลี่ยนสีสันลายถัง,โลโก้,ระบบเบร ค เป็นต้น มีการผลิตรุ่น SP ทั้งหมด2รุ่น และ Special Edition ทั้งหมด4ครั้ง ที่เราจะได้มาดูในรายละเอียดกันต่อไป
ข้อมูลทางเทคนิคของ SR 400
เครื่องยนต์แบบ Single สูบเดียว 4จังหวะ โอเวอร์เฮดวาล์ว(OHC) 2 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ
รหัสเครื่องยนต์ 2H6 (ไม่มีเลขต่อ)/ปี1996-2000 2H6 xxxxxx (มีเลข6หลัก)/ปี 2001 ถึงปัจจุบัน H313E xxxxxx
ความจุกระบอกสูบเท่ากับ 399cc.
ความกว้างกระบอกสูบxความยาวช่วงชักเท่ากับ 87.0x67.2
อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 8.5 : 1
แรงม้าที่มีมาให้ใช้ 27 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 7,000 รอบต่อนาที
แรงบิด 3.00 กิโลกรัมเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง คาร์บูเรเทอร์
ระบบตัดต่อกำลังแบบ คลัทช์แบบเปียก 8 แผ่นซ้อน
ส่งกำลังผ่าน โซ่และสเตอร์
ระบบจุดระเบิดแบบ CDI
ระบบเบรคหน้า ดรัมเบรค/ดิสเบรค (แล้วแต่รุ่นปี)
ระบบเบรคหลัง ดรัมเบรค
ข้อมูลทางเทคนิคของ SR 500
เครื่องยนต์แบบ Single สูบเดียว 4จังหวะ โอเวอร์เฮดวาล์ว(OHC) 2 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ
รหัสเครื่องยนต์ 2J2
ความจุกระบอกสูบเท่ากับ 499cc.
ความกว้างกระบอกสูบxความยาวช่วงชักเท่ากับ 87.0x84.0
อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ
แรงม้าที่มีมาให้ใช้ 32 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 6,500 รอบต่อนาที
แรงบิด 3.70 กิโลกรัมเมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที
ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง คาร์บูเรเทอร์
ระบบตัดต่อกำลังแบบ คลัทช์แบบเปียก 8 แผ่นซ้อน
ส่งกำลังผ่าน โซ่และสเตอร์
ระบบจุดระเบิดแบบ CDI
ระบบเบรคหน้า ดรัมเบรค/ดิสเบรค (แล้วแต่รุ่นปี)
ระบบเบรคหลัง ดรัมเบรค
กำเนิดมนุษย์ (จากลิง สู่คน)
วิวัฒนาการของมนุษย์“คนกับลิงมีบรรพบุรุษมีบรรพบุรุษร่วมกัน ไม่มีหาง แต่ลิงจะมีแขนยาวกว่าขา จากเริ่มต้นในบรรพบุรุษร่วมระหว่างคนกับลิงจะมีวิวัฒนาการไปหลายสาย คือ ชะนี อุรังอุตัง กอริลลา ชิมแพนซี และมนุษย์คล้ายลิงใหญ่” มนุษย์มีวิวัฒนาการมาในกลุ่มเดียวกันกับไพรเมทส์ อันได้แก่ กระแต ลิงลม ลิงเอพ ไพเมทส์มีสมองใหญ่และเจริญกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น บางพวกมีหางยาว แขนยาวกว่าขา ทั้งแขน ขา ใช้ประโยชน์ในการห้อยโหนตัวจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง
มนุษย์ยุคปัจจุบันกระดูกสันหลังจะตั้งตรง คอตั้งตรง เพราะกระดูกคอต่ออยู่ใต้ฐานกะโหลก มีกล้ามเนื้อที่ยึดบริเวณท้ายทอยช่วยรับน้ำหนักศีรษะ ศีรษะจึงไม่ยื่นไปข้างหน้า ทำให้แตกต่างจากกอริลลาที่ทรงตัวไม่ดี อีกทั้งกระดูกสันหลังโค้งงอจนต้องใช้แขนที่ยาวช่วยพยุงในการเดิน ในขณะที่มนุษย์สามารถยืนได้บนขาทั้งสองขาโดยที่ไม่ต้องใช้แขนช่วย ช่วงขามนุษย์จะยาวกว่าช่วงแขน ทำให้เดินตัวตรงได้
เมื่อนำลักษณะต่าง ๆ ระหว่างกอริลลา ซึ่งเป็นลิงขนาดใหญ่ที่ไม่มีหางมาเปรียบเทียบกับมนุซย์ จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จึงไม่สามารถบอกได้ว่า " มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากลิง " อีกทั้งยังไม่มีการค้นพบซากบรรพบุรุษร่วมระหว่างคนกับลิง จึงสันนิษฐานกันว่า วิวัฒนาการของมนุษย์น่าจะต่างจากกอริลลา วิวัฒนาการของมนุษย์กับลิง มีวิวัฒนาการมาคนละสายพันธุ์ โดยที่อาจจะมีบรรพบุรุษร่วมกัน แต่ยังไม่สามารถหาหลักฐานซากดึกดำบรรพ์ร่วมนี้
จากหลักฐานที่ได้จากซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์เท่าที่เคยพบ ได้พบว่าปัจจุบันมนุษย์ได้มีการวิวัฒนาการมาจากมนุษย์วานร แล้ววิวัฒนาการเปลี่ยนไปเป็นมีกะโหลกศีรษะและสมองใหญ่ขึ้น จึงแบ่งสายพันธุ์การวิวัฒนาการของมนุษย์ออกเป็น มนุษย์วานร บรรพบุรุษมมนุษย์ มนุษย์แรกเริ่มจนมาถึงมนุษย์ปัจจุบัน
มนุษย์วานร คือ มนุษย์ในสปีชีส์ ออสตราโลพิธีคัส ซากดึกดำบรรพ์พบว่ามีการแพร่กระจายอยู่ในแอฟริกา มีอายุระหว่าง 3-5 ล้านปี ขนาดมันสมองเล็กประมาณ 400-600 ลูกบาศก์เซนติเมตร ทั่วลำตัวมีขนปลกคุม สูงไม่มากประมาณ 120 เซนติเมตร สามารถใช้หินทำเครื่องมือ แต่ยังไม่รู้จักประดิษฐ์เครื่องมือหรือการสะสมเครื่องมือ บรรพบุรุษมนุษย์ หรือ มนุศย์พวกโฮโมแฮบิลิส พวกนี้สามารถประดิษฐ์อาวุธ หรือเครื่องมือแบบหินกระเทาะใช้ไม้ กระดูก เขาสัตว์ในการล่าสัตว์ขึ้นใช้ มนุษย์พวกนี้มีอายุประมาณ 3-4 ล้านปีมาแล้ว ขนาดมันสมองประมาณ 800 ลูกบาศก์เซนติเมตร สายพันธุ์มนุษย์ระยะแรก หรือพวกโฮโฒอิเลคตัส เช่น พวกมนุษย์ชวา มนุษย์ปักกิ่ง พวกนี้สามารถประดิษฐ์เครื่องมือ ขวานหินไม่มีด้าม รู้จักใช้ไฟและอาศัยอยู่ในถ้ำ แต่สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อ ประมาณ 500,000 ปีก่อน ขนาดมันสมองประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร
สายพันธุ์มนุษย์ปัจจุบัน หรือพวกโฮโม เซเปียนส์ มีอายุแรกเริ่มเมื่อประมาณ 200,000 ปีท่แล้ว พวกนี้ใช้อาวุธที่ทำด้วยโลหะ มีภาพวาดตามผนังถ้ำ มีขนาดมันสมองประมาณ 1,100-1,200 ลูกบาศก์เซนติเมตร พบซากมนุษย์นีนเดอร์ธัล และมนุษย์โครมายอง
Vespa
Vespa Rally 180 ปี 1969เวสป้า (อังกฤษ: Vespa) เป็นรถมอเตอร์สกู๊ตเตอร์ เริ่มผลิตที่เมืองปอนเตเดรา ในแคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลี ในปี ค.ศ. 1946 โดย Piaggio & Co,S.p.A
เวสป้าแพร่หลายในช่วงปี 50s และ 60s เป็นที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นอังกฤษ โดยเฉพาะพวก ม็อด
เวสป้าในภาษาอิตาลีแปลว่า ตัวต่อ
ประวัติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Piaggio ที่แต่เดิมมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนของเรือและส่วนเครื่องบิน หันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายในแบบ Four - Part P 108 ให้กับรถเวสป้า ที่โรงงาน Pontedera จึงเกิดความคิดที่สร้างยานพาหนะเล็กๆไว้เดินทางขนส่งและสำรวจใน โรงงานคือ MP5 หรือโดนัลดัค ซึ่งในรุ่นนี้ทำจากซากชิ้นส่วนของเครื่องบิน มันคือสกู๊ตเตอร์ หรือ รถจักรยานยนต์คันเล็กๆ ที่มีล้อต่ำๆ ช่วยต่อการขับขี่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและราคาไม่แพง
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 รถเวสป้ารุ่น MP6 ก็ถูกผลิตออกมาด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่สะดวกสบาย มีล้ออะไหล่ซึ่งขับขี่แบบง่ายๆ ถ้าในเวลาขับขี่รถติดก็มีที่กำบังกันน้ำกระเด็นใส่ Enrico ได้ฟังเสียงรถ MP6 เขาร้องออกมาว่า"มันเหมือนตัวต่อร้องเลย" ตั้งแต่นั้นมา Enrico ก็เลยให้ชื่อเสียงเรียงนามเรียกรถนี้ว่า Vespa ซึ่งแปลว่าตัวต่อ (Wasp)
รุ่นแรกเป็นสกู๊ตเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบชั้นเดียว หลังจากผลิตรถรุ่นดังกล่าวได้ประมาณ 100 คัน จึงลงมือผลิตรุ่นที่ใช้ชื่อว่า Vespa (Wasp) ออกมา รถรุ่นนี้มีความก้าวหน้ามากทั้งในด้านรูปทรงและด้านวิศวกรรม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของ Vespa ที่มีการวางจำหน่ายในท้องตลาดจนถึงกลางทศวรรษ 1990 สกู๊ตเตอร์รุ่นแรกมีขนาดเครื่องยนต์เพียง 98 cc. ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาด 125 cc., 150 cc. และ 200 cc. ตามลำดับ
ในประเทศไทย Piaggio Group มีตัวแทนจำหน่ายรถเวสป้า ดำเนินธุรกิจโดย บริษัท เวสปิอาริโอ (ประเทศไทย) จำกัด
เวสป้าแพร่หลายในช่วงปี 50s และ 60s เป็นที่นิยมกันในหมู่วัยรุ่นอังกฤษ โดยเฉพาะพวก ม็อด
เวสป้าในภาษาอิตาลีแปลว่า ตัวต่อ
ประวัติหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 Piaggio ที่แต่เดิมมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนของเรือและส่วนเครื่องบิน หันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายในแบบ Four - Part P 108 ให้กับรถเวสป้า ที่โรงงาน Pontedera จึงเกิดความคิดที่สร้างยานพาหนะเล็กๆไว้เดินทางขนส่งและสำรวจใน โรงงานคือ MP5 หรือโดนัลดัค ซึ่งในรุ่นนี้ทำจากซากชิ้นส่วนของเครื่องบิน มันคือสกู๊ตเตอร์ หรือ รถจักรยานยนต์คันเล็กๆ ที่มีล้อต่ำๆ ช่วยต่อการขับขี่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมันและราคาไม่แพง
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 รถเวสป้ารุ่น MP6 ก็ถูกผลิตออกมาด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่สะดวกสบาย มีล้ออะไหล่ซึ่งขับขี่แบบง่ายๆ ถ้าในเวลาขับขี่รถติดก็มีที่กำบังกันน้ำกระเด็นใส่ Enrico ได้ฟังเสียงรถ MP6 เขาร้องออกมาว่า"มันเหมือนตัวต่อร้องเลย" ตั้งแต่นั้นมา Enrico ก็เลยให้ชื่อเสียงเรียงนามเรียกรถนี้ว่า Vespa ซึ่งแปลว่าตัวต่อ (Wasp)
รุ่นแรกเป็นสกู๊ตเตอร์ขนาดเล็กที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบชั้นเดียว หลังจากผลิตรถรุ่นดังกล่าวได้ประมาณ 100 คัน จึงลงมือผลิตรุ่นที่ใช้ชื่อว่า Vespa (Wasp) ออกมา รถรุ่นนี้มีความก้าวหน้ามากทั้งในด้านรูปทรงและด้านวิศวกรรม ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของ Vespa ที่มีการวางจำหน่ายในท้องตลาดจนถึงกลางทศวรรษ 1990 สกู๊ตเตอร์รุ่นแรกมีขนาดเครื่องยนต์เพียง 98 cc. ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาด 125 cc., 150 cc. และ 200 cc. ตามลำดับ
ในประเทศไทย Piaggio Group มีตัวแทนจำหน่ายรถเวสป้า ดำเนินธุรกิจโดย บริษัท เวสปิอาริโอ (ประเทศไทย) จำกัด
เขื่อนที่สำคัญในประเทศไทย
1. เขื่อนภูมิพล (เขื่อนยันฮี)
เป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่ กั้นลำน้ำปิง สูง 154 เมตร ยาว 486 เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2507 ตั้งอยู่ที่ อ. สามเงา จ. ตาก
2. เขื่อนเจ้าพระยา
เป็นเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กั้นลำน้ำเจ้าพระยา ที่ ต. บางหลวง อ. สรรพยา
จ. ชัยนาท เปิดใช้เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500
3. เขื่อนศรีนครินทร์ (เขื่อนเจ้าเณร)
เป็นเขื่อนดินกั้นแม่น้ำแควใหญ่ ในเขต อ. ศรีสวัสดิ์ฯ จ. กาญจนบุรี สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2515
4. เขื่อนสิริกิติ์ (เขื่อนผาซ่อม)
เป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำน่านที่ผาซ่อม อ. ท่าปลา จ. อุตรดิตถ์ เป็นเขื่อนดินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2515
5. เขื่อนอุบลรัตน์ (เขื่อนพองหนีบ)
เป็นเขื่อนดิน สร้างปิดกั้นแม่น้ำพอง ตั้งอยู่ที่ ต.โคกสูง อ. น้ำพอง จ. ขอนแก่น สร้างเสร็จในปีพ.ศ. 2509
6. เขื่อนวชิราลงกรณ์
เป็นเขื่อนทดน้ำ ใช้ประโยชน์ในทางเกษตร กั้นลำน้ำแม่กลองที่ ต. ม่วงชุม อ. ท่าม่วง จ. กาญจนบุรี สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2512
7. เขื่อนสิรินธร (เขื่อนลำโดมน้อย)
เป็นเขื่อนคอนกรีต กั้นแม่น้ำลำโดมน้อย ต. คันไร่ อ. พิบูลมังสาหาร จ. อุบลราชธานี สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2514
8. เขื่อนจุฬาภรณ์ (เขื่อนน้ำพรม)
กั้นลำน้ำพอง ต. ทุ่งพระ อ. ดอนสาน จ. ชัยภูมิ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2516
9. เขื่อนแก่งกระจาน
เป็นเขื่อนดินกั้นแม่น้ำเพชรบุรี ท้องที่ ต. สองพี่น้อง อ. ท่ายาง จ. เพชรบุรี สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2509
10. เขื่อนปราณบุรี
กั้นแม่น้ำปราณบุรี ในเขตพื้นที่ อ. ปราณบุรี จ. ประจวบคีรีขันธ์ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2518
11. เขื่อนกิ่วลม
เป็นเขื่อนคอนกรีต กั้นแม่น้ำวัง ที่ อ. เมือง จ. ลำปาง สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2514
12. เขื่อนลำปาว
เป็นเขื่อนดินกั้นลำน้ำปาว และห้วยยาง ที่เขตติดต่อ อ. สหัสขันธ์ อ. ยางาตลาด และ อ. เมือง จ. กาฬสินธุ์ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2511
13. เขื่อนน้ำอูน
เป็นเขื่อนดิน กั้นแม่น้ำอูน ในพื้นที่ อ. พังโคน จ. สกลนคร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2516
14. เขื่อนลำพระเพลิง
เป็นเขื่อนดิน กั้นแม่น้ำลำพระเพลิงในเขตพื้นที่ อ. ปักธงชัย จ. นครราชสีมา สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2510
15. เขื่อนลำตะคอง
เป็นเขื่อนดิน กั้นแม่น้ำลำตะคอง ในเขต อ. สีคิ้ว จ. นครราชสีมา สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512
16. เขื่อนน้ำพุง
กั้นลำน้ำพุงบนเทือกเขาภูพาน อ. กุดบาก จ. สกลนคร สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2508
17. เขื่อนพิมาย
กั้นแม่น้ำมูล ในเขต อ. พิมาย จ. นครราชสีมา สร้างเสร็จในเมื่อ พ.ศ. 2493
18. เขื่อนห้วยหลวง
กั้นลำน้ำห้วยขวาง ในเขต จ. อุดรธานี
19. เขื่อนมะขามเฒ่า
กั้นลำน้ำตะคอง ใน อ. เมือง จ. นครราชสีมา
20. เขื่อนคนชุม
กั้นลำน้ำคนชุม และลำน้ำตะคอง เขตท้องที่ ต. หนองจะบก อ. เมือง จ. นครราชสีมา
21. เขื่อนบ้านข่อยงาม
กั้นลำน้ำตะคอง ที่ ต. หัวทะเล อ. เมือง จ. นครราชสีมา จ. นครราชสีมา
22. เขื่อนบ้านกันผม
กั้นลำน้ำตะคอง ที่ ต. หนองยาง อ. จักราช จ. นครราชสีมา
23. เขื่อนบ้านทุ่ง
กั้นลำน้ำบริบูรณ์ ที่ ต. บ้านปรุใหญ่ อ. เมือง จ. นครราชสีมา
24. เขื่อนกระเสียว
เป็นเขื่อนเก็บน้ำเพื่อใช้ในการชลประทาน และบรรเทาอุทกภัยให้แก่พื้นที่ในเขตโครงการสามชุก อ. สามชุก จ. สุพรรณบุรี
25. เขื่อนพระรามหก
เป็นเขื่อนทดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย กั้นแม่น้ำป่าสัก ที่ ต. ไก่ขัน จ. พระนครศรีอยุธยา ทำพิธีเปิดเมื่อพ.ศ. 2467
26. เขื่อนนครนายก
กั้นแม่น้ำนครนายก ที่ท่าหุบ อ. เมือง จ. นครนายก เพื่อทดน้ำส่งในเขตโครงการนครนายก เป็นเขื่อนทดน้ำแห่งที่สองของประเทศไทย
27. เขื่อนบางลาง
กั้นแม่น้ำตานี จ. ปัตตานี เป็นเขื่อนเอนกประสงค์
28. เขื่อนบ้านคูระ
กั้นแม่น้ำตาปี ต. แม่ลาน อ.โคกโพธิ์ จ. ปัตตานี
29. เขื่อนเพชร
เป็นเขื่อนทดน้ำกั้นแม่น้ำเพชรบุรี ส่งทดน้ำในเขตโครงการเพชรบุรี ในเขตพื้นที่ ต. ท่าคอย อ. ท่ายาง
จ. เพชรบุรี
30. เขื่อนห้วยเสน่ง
เป็นเขื่อนส่งน้ำให้เขตโครงการห้วยเสน่ง กั้นห้วยเสน่งที่บ้านถนน อ. เมือง จ. สุรินทร์
31. เขื่อนน้ำงึม
กั้นแม่น้ำโขง เขต จ. หนองคาย เป็นโครงการกักเก็บน้ำเอนกประสงค์แห่งแรกในราชอาณาจักรลาว ดำเนินงานโดย “คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งเอเซียตะวันออกไกลขององค์การสหประชาชาติ”
เป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่ กั้นลำน้ำปิง สูง 154 เมตร ยาว 486 เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2507 ตั้งอยู่ที่ อ. สามเงา จ. ตาก
2. เขื่อนเจ้าพระยา
เป็นเขื่อนทดน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กั้นลำน้ำเจ้าพระยา ที่ ต. บางหลวง อ. สรรพยา
จ. ชัยนาท เปิดใช้เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500
3. เขื่อนศรีนครินทร์ (เขื่อนเจ้าเณร)
เป็นเขื่อนดินกั้นแม่น้ำแควใหญ่ ในเขต อ. ศรีสวัสดิ์ฯ จ. กาญจนบุรี สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2515
4. เขื่อนสิริกิติ์ (เขื่อนผาซ่อม)
เป็นเขื่อนกั้นแม่น้ำน่านที่ผาซ่อม อ. ท่าปลา จ. อุตรดิตถ์ เป็นเขื่อนดินขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2515
5. เขื่อนอุบลรัตน์ (เขื่อนพองหนีบ)
เป็นเขื่อนดิน สร้างปิดกั้นแม่น้ำพอง ตั้งอยู่ที่ ต.โคกสูง อ. น้ำพอง จ. ขอนแก่น สร้างเสร็จในปีพ.ศ. 2509
6. เขื่อนวชิราลงกรณ์
เป็นเขื่อนทดน้ำ ใช้ประโยชน์ในทางเกษตร กั้นลำน้ำแม่กลองที่ ต. ม่วงชุม อ. ท่าม่วง จ. กาญจนบุรี สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2512
7. เขื่อนสิรินธร (เขื่อนลำโดมน้อย)
เป็นเขื่อนคอนกรีต กั้นแม่น้ำลำโดมน้อย ต. คันไร่ อ. พิบูลมังสาหาร จ. อุบลราชธานี สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2514
8. เขื่อนจุฬาภรณ์ (เขื่อนน้ำพรม)
กั้นลำน้ำพอง ต. ทุ่งพระ อ. ดอนสาน จ. ชัยภูมิ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2516
9. เขื่อนแก่งกระจาน
เป็นเขื่อนดินกั้นแม่น้ำเพชรบุรี ท้องที่ ต. สองพี่น้อง อ. ท่ายาง จ. เพชรบุรี สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2509
10. เขื่อนปราณบุรี
กั้นแม่น้ำปราณบุรี ในเขตพื้นที่ อ. ปราณบุรี จ. ประจวบคีรีขันธ์ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2518
11. เขื่อนกิ่วลม
เป็นเขื่อนคอนกรีต กั้นแม่น้ำวัง ที่ อ. เมือง จ. ลำปาง สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2514
12. เขื่อนลำปาว
เป็นเขื่อนดินกั้นลำน้ำปาว และห้วยยาง ที่เขตติดต่อ อ. สหัสขันธ์ อ. ยางาตลาด และ อ. เมือง จ. กาฬสินธุ์ สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2511
13. เขื่อนน้ำอูน
เป็นเขื่อนดิน กั้นแม่น้ำอูน ในพื้นที่ อ. พังโคน จ. สกลนคร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2516
14. เขื่อนลำพระเพลิง
เป็นเขื่อนดิน กั้นแม่น้ำลำพระเพลิงในเขตพื้นที่ อ. ปักธงชัย จ. นครราชสีมา สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2510
15. เขื่อนลำตะคอง
เป็นเขื่อนดิน กั้นแม่น้ำลำตะคอง ในเขต อ. สีคิ้ว จ. นครราชสีมา สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2512
16. เขื่อนน้ำพุง
กั้นลำน้ำพุงบนเทือกเขาภูพาน อ. กุดบาก จ. สกลนคร สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2508
17. เขื่อนพิมาย
กั้นแม่น้ำมูล ในเขต อ. พิมาย จ. นครราชสีมา สร้างเสร็จในเมื่อ พ.ศ. 2493
18. เขื่อนห้วยหลวง
กั้นลำน้ำห้วยขวาง ในเขต จ. อุดรธานี
19. เขื่อนมะขามเฒ่า
กั้นลำน้ำตะคอง ใน อ. เมือง จ. นครราชสีมา
20. เขื่อนคนชุม
กั้นลำน้ำคนชุม และลำน้ำตะคอง เขตท้องที่ ต. หนองจะบก อ. เมือง จ. นครราชสีมา
21. เขื่อนบ้านข่อยงาม
กั้นลำน้ำตะคอง ที่ ต. หัวทะเล อ. เมือง จ. นครราชสีมา จ. นครราชสีมา
22. เขื่อนบ้านกันผม
กั้นลำน้ำตะคอง ที่ ต. หนองยาง อ. จักราช จ. นครราชสีมา
23. เขื่อนบ้านทุ่ง
กั้นลำน้ำบริบูรณ์ ที่ ต. บ้านปรุใหญ่ อ. เมือง จ. นครราชสีมา
24. เขื่อนกระเสียว
เป็นเขื่อนเก็บน้ำเพื่อใช้ในการชลประทาน และบรรเทาอุทกภัยให้แก่พื้นที่ในเขตโครงการสามชุก อ. สามชุก จ. สุพรรณบุรี
25. เขื่อนพระรามหก
เป็นเขื่อนทดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย กั้นแม่น้ำป่าสัก ที่ ต. ไก่ขัน จ. พระนครศรีอยุธยา ทำพิธีเปิดเมื่อพ.ศ. 2467
26. เขื่อนนครนายก
กั้นแม่น้ำนครนายก ที่ท่าหุบ อ. เมือง จ. นครนายก เพื่อทดน้ำส่งในเขตโครงการนครนายก เป็นเขื่อนทดน้ำแห่งที่สองของประเทศไทย
27. เขื่อนบางลาง
กั้นแม่น้ำตานี จ. ปัตตานี เป็นเขื่อนเอนกประสงค์
28. เขื่อนบ้านคูระ
กั้นแม่น้ำตาปี ต. แม่ลาน อ.โคกโพธิ์ จ. ปัตตานี
29. เขื่อนเพชร
เป็นเขื่อนทดน้ำกั้นแม่น้ำเพชรบุรี ส่งทดน้ำในเขตโครงการเพชรบุรี ในเขตพื้นที่ ต. ท่าคอย อ. ท่ายาง
จ. เพชรบุรี
30. เขื่อนห้วยเสน่ง
เป็นเขื่อนส่งน้ำให้เขตโครงการห้วยเสน่ง กั้นห้วยเสน่งที่บ้านถนน อ. เมือง จ. สุรินทร์
31. เขื่อนน้ำงึม
กั้นแม่น้ำโขง เขต จ. หนองคาย เป็นโครงการกักเก็บน้ำเอนกประสงค์แห่งแรกในราชอาณาจักรลาว ดำเนินงานโดย “คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งเอเซียตะวันออกไกลขององค์การสหประชาชาติ”
พัทยา
พัทยา หรือ เมืองพัทยา เป็นเขตปกครองพิเศษเขตหนึ่งที่ตั้งตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา ฉบับ วันที่ 29 พฤจิกายน พ.ศ. 2521 (เทียบเท่าเทศบาลนคร) ในเขตจังหวัดชลบุรี จัดเป็นเมืองท่องเที่ยวนานาชาติที่มีชื่อเสียงระดับโลกโดยเฉพาะหาดทรายที่ทอดยาวไปตามแนวชายฝั่งทะเล จัดได้ว่ามีความสวยงามอีกแห่งของประเทศไทย อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 140 กิโลเมตร ตั้งอยู่บนฝั่งทะเลทางทิศตะวันออกของอ่าวไทย ซึ่งพัทยาแบ่งเป็น 4 ส่วนได้แก่ พัทยาเหนือ พัทยากลาง พัทยาใต้ และหาดจอมเทียน
พัทยาเหนือบริเวณพัทยาเหนือนั้นในอดีตเคยเป็นแหล่งชุมชนและอุตสาหกรรมมาก่อน อาชีพหลักของผู้คนแถบนี้คือ การทำนาเกลือและการประมง จึงทำให้มีบรรยากาศของความเก่าแก่หลงเหลืออยู่ บ้านเรือนโบราณ ถนนสายแคบๆ การเป็นอยู่แบบเรียบง่ายตลอดเส้นทางสายนาเกลือ-พัทยา จนถึงบริเวณวงเวียนปลาโลมาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของถนนเลียบชายหาดซึ่งยาวไปจนถึงพัทยาใต้ ในส่วนของพัทยาเหนือนี้แตกต่างจากบริเวณนาเกลือโดยสิ้นเชิง โรงแรมบ้านพักสถานบันเทิง ร้านอาหาร ถูกสร้างขึ้นมากมายริมถนนเลียบชายหาดสายนี้ อีกทั้งสามารถเดินเล่นไปตามทางเท้าริมถนนเลียบชายหาดได้อีกด้วย ถนนพัทยาสายสองในส่วนของพัทยาเหนือนั้นมีสถานน่าสนใจมากมาย เช่น ทิฟฟานี่โชว์ อัลคาร์ซ่าคาบาเร่ต์ และ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้ออาหารทะเลสดๆและแปลกๆสามารถมาหาซื้อได้ที่ตลาดนาเกลือ และนอกจากนี้ ย่านตลาดนาเกลือยังได้รับการจัดให้เป็นย่านชุมชนโบราณอีกด้วย
พัทยากลางพัทยากลางนั้นโรงแรมส่วนมากจะมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่จะได้พบกับบาร์เบียร์ ร้านขายเสื้อผ้า และบาร์อะโกโก้มากมาย บริเวณถนนเรียบชายหาดมีสำนักงานตำรวจพัทยาและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงห้างสรรพสินค้าอาทิ รอยัลการ์เด้น พลาซ่าห้างไมค์ชอปปิ้งมอลล์ และเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีชซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าริมหาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
พัทยาใต้พัทยาใต้โค้งมากจากถนนเลียบชายหาด แถบนี้ถูกเรียกว่า วอล์คกิ้ง สตรีท เขตเดินเท้าบริเวณนี้มีร้านค้าเล็กๆ มากมาย ซึ่งบริการ ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายเครื่องกีฬา ร้านขายเครื่องประดับ และร้านขายของที่ระลึก ที่นี่ยังมีบาร์มากกมาย และยังมีร้านอาหารทะเล ซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างยื่นลงไปในทะเลเพื่อเพิ่มบรรยากาศในการรับประทานอาหาร พัทยาใต้นั้นดูวุ่นวายกว่าส่วนอื่นๆ ของเมืองพัทยา ถนนอัฐจินดา สัญลักษณ์ของเขตแดนเมืองพัทยาใต้ เมื่อเดินไปตามซอยเล็ก ๆ ซึ่งจะนำทางสู่ถนนพระตำหนักซึ่งเป็นด้านหลังของพัทยาและนำไปสู่ ถนนพัทยาสายสอง
หาดจอมเทียนหาดจอมเทียน ความยาว 6 กิโลเมตรของหาดจอมเทียนถูกแบ่ง จากส่วนอื่นๆในเมืองพัทยาด้วยเนินเขาด้านหลังของพัทยาใต้ เมื่อขับรถผ่านเนินเขา และผ่านพระพุทธรูปใหญ่ก็จะลงมาสู่หาดที่ค่อนข้างเงียบ ชายหาดนี้เป็นสถานที่ที่เป็นที่นิยมของกีฬาทางน้ำ เนื่องจากพื้นที่แถวนี้มีอากาศที่บริสุทธิ์ ซึ่งถูกพัดมาจากอ่าวไทย และทะเลที่หาดนี้ยังมีความ คับคั่งของเรือน้อยกว่าที่อ่าวพัทยานอกจากนี้หาดจอมเทียนยังเป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจโดยการอาบแดด นอกจากนี้หาดจอมเทียนยังมีทางเล็กๆ ซึ่งมีแหล่งช็อปปิ้ง บาร์เบียร์ และยังมีโรงแรมที่มีหาดส่วนตัว บังกะโลคอมเพล็กซ์ คอนโดมิเนียม และร้านอาหาร
สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆโรงละคร ไทย "อลังการ พัทยา ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทสายหลัก จากพัทยาใต้ มุ่งสู่สัตหีบ อลังการอยู่ซ้ายมือก่อนถึงโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ จอมเทียน นำเสนอการแสดงความเป็นไทยรูปแบบใหม่ ที่เป็นการส่งเสริมคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของไทย แสดงในโรงละครขนาดความจุ 2,000 ที่นั่ง เปิดแสดงทุกวัน (ปิดวันพุธ) แสดงรอบปกติเวลา 18.00 น.
เกาะล้านเกาะล้าน อยู่ห่างชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ ดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำ เช่น เรือลากร่มชูชีพ เรือสกี สกู๊ดเตอร์ โดยเฉพาะที่หาดตาแหวน หาดทองหลาง หาดนวล และหาดเทียน ส่วนหาดแสมบรรยากาศเงียบสงบกว่าหาดอื่น บริเวณเกาะล้าน และเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เช่น เกาะครก และเกาะสากเป็นแหล่งตกปลาดำน้ำดูปะการัง ทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้น และเป็นสถานที่ฝึกหัดเรียนดำน้ำ
เกาะครกเกาะครกเป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่ทะเลของพัทยา อยู่ห่างจากฝั่งพัทยาไปทางทิศตะวันตกประมาณ 8 กม. เกาะครกมีที่พักเป็นรีสอร์ทของเอกชน สภาพโดยรอบเกาะเป็นโขดหิน มีหาดทรายอยู่เพียงหาดเดียว อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ คือ หาดเกาะครก ซึ่งมีความยาวของหาด 100 เมตรเศษ
เกาะสากเกาะสากเป็นเกาะขนาดเล็ก ห่างจากเกาะล้านไปทางทิศเหนือประมาณ 600 เมตร รูปร่างโค้งเป็นรูปเกือกม้าหงาย มีหาดทราย 2 หาดทางทิศเหนือและใต้ของเกาะ และมีแนวปะการัง บนเกาะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว
หมู่เกาะไผ่หมู่เกาะไผ่จะประกอบด้วย เกาะเหลื่อม เกาะหูช้าง เกาะกลึงบาดาล เกาะมารวิชัย โดยเกาะเหล่าจะตั้งตัวเรียงกันเป็นหมู่เกาะของทะเลพัทยา โดยมีเกาะไผ่ใหญ่ที่สุด เกาะไผ่อยู่ห่างจากชายฝั่งของเมืองพัทยา ประมาณ 23 กิโลเมตร และมีระยะทางที่ห่างจากเกาะล้านประมาณ 9.5 กิโลเมตร หมู่เกาะไผ่ในปัจจุบันทางกองทัพเรือเป็นผู้ดูแลและพัฒนา และอนุญาตให้บุคคลหรือนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวพักผ่อนได้ โดยจะต้องรักษากฎระเบียบอย่างเครงครัด
การเดินทาง โดยรถยนต์ จาก อำเภอเมืองชลบุรี ตรงมาตาม ถ.สุขุมวิท ผ่าน อำเภอศรีราชาและ อำเภอบางละมุง ถนนเข้าสู่เมืองพัทยามีสามเส้นหลักๆ คือ ถ.พัทยาเหนือ อยู่ตรงหลัก กม.144 ถ.พัทยากลาง อยู่ประมาณหลัก กม.145-146 และ ถ.พัทยาใต้ หลัก กม.147 ทั้งสามเส้นจะไปพบกับถนเลียบชายหาดพัทยา
โดยรถประจำทาง มีรถโดยสารประจำทางออกจากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพทั้งสามแห่งที่ ถนนบรมราชชนนี เอกมัย และ จตุจักร ไปพัทยา
โดยรถไฟ จากกรุงเทพฯ มีบริการเพียงวันละหนึ่งเที่ยว ออกจากสถานีกรุงเทพฯ เวลา 06.55 น. ถึงสถานีพัทยาเวลา 10.45 น. เวลาเดินทาง 3 ชม. 40 นาที
โดยเครื่องบิน มีสนามบินอู่ตะเภาที่สัตหีบ และเที่ยวบินที่มีปัจจุบันเปิดบริการโดย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ ถึง และ จาก เกาะสมุย
งานและเทศกาลเทศกาลดนตรีพัทยา หรือ พัทยา มิวสิก เฟสติวัล (Pattaya Music Festival) เป็นเทศกาลดนตรีประจำปีที่จัดขึ้นที่พัทยา โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ลักษณะตัวงานจะจัดในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี มีการแสดงของกลุ่มนักร้อง นักดนตรี ทั้งไทยและต่างประเทศ
งานประเพณีวันไหลพัทยา หรือ วันไหลพัทยา เป็นเทศกาลที่ได้รับความนิยมของชาวเมืองพัทยา ถือว่าเป็นเป็นประเพณีเชื่อมโยงและเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีสงกรานต์ เทศกาลวันไหลพัทยานั้นจะนิยมจัดขึ้นในช่วง วันที่ 19 เมษายน ของทุกปี จะเริ่มเล่นสาดน้ำกันประมาณวันที่ 16 หรือ 17-18-19 เมษายน
พัทยาเหนือบริเวณพัทยาเหนือนั้นในอดีตเคยเป็นแหล่งชุมชนและอุตสาหกรรมมาก่อน อาชีพหลักของผู้คนแถบนี้คือ การทำนาเกลือและการประมง จึงทำให้มีบรรยากาศของความเก่าแก่หลงเหลืออยู่ บ้านเรือนโบราณ ถนนสายแคบๆ การเป็นอยู่แบบเรียบง่ายตลอดเส้นทางสายนาเกลือ-พัทยา จนถึงบริเวณวงเวียนปลาโลมาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของถนนเลียบชายหาดซึ่งยาวไปจนถึงพัทยาใต้ ในส่วนของพัทยาเหนือนี้แตกต่างจากบริเวณนาเกลือโดยสิ้นเชิง โรงแรมบ้านพักสถานบันเทิง ร้านอาหาร ถูกสร้างขึ้นมากมายริมถนนเลียบชายหาดสายนี้ อีกทั้งสามารถเดินเล่นไปตามทางเท้าริมถนนเลียบชายหาดได้อีกด้วย ถนนพัทยาสายสองในส่วนของพัทยาเหนือนั้นมีสถานน่าสนใจมากมาย เช่น ทิฟฟานี่โชว์ อัลคาร์ซ่าคาบาเร่ต์ และ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการซื้ออาหารทะเลสดๆและแปลกๆสามารถมาหาซื้อได้ที่ตลาดนาเกลือ และนอกจากนี้ ย่านตลาดนาเกลือยังได้รับการจัดให้เป็นย่านชุมชนโบราณอีกด้วย
พัทยากลางพัทยากลางนั้นโรงแรมส่วนมากจะมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่จะได้พบกับบาร์เบียร์ ร้านขายเสื้อผ้า และบาร์อะโกโก้มากมาย บริเวณถนนเรียบชายหาดมีสำนักงานตำรวจพัทยาและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงห้างสรรพสินค้าอาทิ รอยัลการ์เด้น พลาซ่าห้างไมค์ชอปปิ้งมอลล์ และเซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีชซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าริมหาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
พัทยาใต้พัทยาใต้โค้งมากจากถนนเลียบชายหาด แถบนี้ถูกเรียกว่า วอล์คกิ้ง สตรีท เขตเดินเท้าบริเวณนี้มีร้านค้าเล็กๆ มากมาย ซึ่งบริการ ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายเครื่องกีฬา ร้านขายเครื่องประดับ และร้านขายของที่ระลึก ที่นี่ยังมีบาร์มากกมาย และยังมีร้านอาหารทะเล ซึ่งส่วนใหญ่จะสร้างยื่นลงไปในทะเลเพื่อเพิ่มบรรยากาศในการรับประทานอาหาร พัทยาใต้นั้นดูวุ่นวายกว่าส่วนอื่นๆ ของเมืองพัทยา ถนนอัฐจินดา สัญลักษณ์ของเขตแดนเมืองพัทยาใต้ เมื่อเดินไปตามซอยเล็ก ๆ ซึ่งจะนำทางสู่ถนนพระตำหนักซึ่งเป็นด้านหลังของพัทยาและนำไปสู่ ถนนพัทยาสายสอง
หาดจอมเทียนหาดจอมเทียน ความยาว 6 กิโลเมตรของหาดจอมเทียนถูกแบ่ง จากส่วนอื่นๆในเมืองพัทยาด้วยเนินเขาด้านหลังของพัทยาใต้ เมื่อขับรถผ่านเนินเขา และผ่านพระพุทธรูปใหญ่ก็จะลงมาสู่หาดที่ค่อนข้างเงียบ ชายหาดนี้เป็นสถานที่ที่เป็นที่นิยมของกีฬาทางน้ำ เนื่องจากพื้นที่แถวนี้มีอากาศที่บริสุทธิ์ ซึ่งถูกพัดมาจากอ่าวไทย และทะเลที่หาดนี้ยังมีความ คับคั่งของเรือน้อยกว่าที่อ่าวพัทยานอกจากนี้หาดจอมเทียนยังเป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจโดยการอาบแดด นอกจากนี้หาดจอมเทียนยังมีทางเล็กๆ ซึ่งมีแหล่งช็อปปิ้ง บาร์เบียร์ และยังมีโรงแรมที่มีหาดส่วนตัว บังกะโลคอมเพล็กซ์ คอนโดมิเนียม และร้านอาหาร
สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆโรงละคร ไทย "อลังการ พัทยา ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทสายหลัก จากพัทยาใต้ มุ่งสู่สัตหีบ อลังการอยู่ซ้ายมือก่อนถึงโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ จอมเทียน นำเสนอการแสดงความเป็นไทยรูปแบบใหม่ ที่เป็นการส่งเสริมคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของไทย แสดงในโรงละครขนาดความจุ 2,000 ที่นั่ง เปิดแสดงทุกวัน (ปิดวันพุธ) แสดงรอบปกติเวลา 18.00 น.
เกาะล้านเกาะล้าน อยู่ห่างชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ ดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำ เช่น เรือลากร่มชูชีพ เรือสกี สกู๊ดเตอร์ โดยเฉพาะที่หาดตาแหวน หาดทองหลาง หาดนวล และหาดเทียน ส่วนหาดแสมบรรยากาศเงียบสงบกว่าหาดอื่น บริเวณเกาะล้าน และเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เช่น เกาะครก และเกาะสากเป็นแหล่งตกปลาดำน้ำดูปะการัง ทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้น และเป็นสถานที่ฝึกหัดเรียนดำน้ำ
เกาะครกเกาะครกเป็นเกาะเล็กๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่ทะเลของพัทยา อยู่ห่างจากฝั่งพัทยาไปทางทิศตะวันตกประมาณ 8 กม. เกาะครกมีที่พักเป็นรีสอร์ทของเอกชน สภาพโดยรอบเกาะเป็นโขดหิน มีหาดทรายอยู่เพียงหาดเดียว อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ คือ หาดเกาะครก ซึ่งมีความยาวของหาด 100 เมตรเศษ
เกาะสากเกาะสากเป็นเกาะขนาดเล็ก ห่างจากเกาะล้านไปทางทิศเหนือประมาณ 600 เมตร รูปร่างโค้งเป็นรูปเกือกม้าหงาย มีหาดทราย 2 หาดทางทิศเหนือและใต้ของเกาะ และมีแนวปะการัง บนเกาะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว
หมู่เกาะไผ่หมู่เกาะไผ่จะประกอบด้วย เกาะเหลื่อม เกาะหูช้าง เกาะกลึงบาดาล เกาะมารวิชัย โดยเกาะเหล่าจะตั้งตัวเรียงกันเป็นหมู่เกาะของทะเลพัทยา โดยมีเกาะไผ่ใหญ่ที่สุด เกาะไผ่อยู่ห่างจากชายฝั่งของเมืองพัทยา ประมาณ 23 กิโลเมตร และมีระยะทางที่ห่างจากเกาะล้านประมาณ 9.5 กิโลเมตร หมู่เกาะไผ่ในปัจจุบันทางกองทัพเรือเป็นผู้ดูแลและพัฒนา และอนุญาตให้บุคคลหรือนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวพักผ่อนได้ โดยจะต้องรักษากฎระเบียบอย่างเครงครัด
การเดินทาง โดยรถยนต์ จาก อำเภอเมืองชลบุรี ตรงมาตาม ถ.สุขุมวิท ผ่าน อำเภอศรีราชาและ อำเภอบางละมุง ถนนเข้าสู่เมืองพัทยามีสามเส้นหลักๆ คือ ถ.พัทยาเหนือ อยู่ตรงหลัก กม.144 ถ.พัทยากลาง อยู่ประมาณหลัก กม.145-146 และ ถ.พัทยาใต้ หลัก กม.147 ทั้งสามเส้นจะไปพบกับถนเลียบชายหาดพัทยา
โดยรถประจำทาง มีรถโดยสารประจำทางออกจากสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ และสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพทั้งสามแห่งที่ ถนนบรมราชชนนี เอกมัย และ จตุจักร ไปพัทยา
โดยรถไฟ จากกรุงเทพฯ มีบริการเพียงวันละหนึ่งเที่ยว ออกจากสถานีกรุงเทพฯ เวลา 06.55 น. ถึงสถานีพัทยาเวลา 10.45 น. เวลาเดินทาง 3 ชม. 40 นาที
โดยเครื่องบิน มีสนามบินอู่ตะเภาที่สัตหีบ และเที่ยวบินที่มีปัจจุบันเปิดบริการโดย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ ถึง และ จาก เกาะสมุย
งานและเทศกาลเทศกาลดนตรีพัทยา หรือ พัทยา มิวสิก เฟสติวัล (Pattaya Music Festival) เป็นเทศกาลดนตรีประจำปีที่จัดขึ้นที่พัทยา โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ลักษณะตัวงานจะจัดในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี มีการแสดงของกลุ่มนักร้อง นักดนตรี ทั้งไทยและต่างประเทศ
งานประเพณีวันไหลพัทยา หรือ วันไหลพัทยา เป็นเทศกาลที่ได้รับความนิยมของชาวเมืองพัทยา ถือว่าเป็นเป็นประเพณีเชื่อมโยงและเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีสงกรานต์ เทศกาลวันไหลพัทยานั้นจะนิยมจัดขึ้นในช่วง วันที่ 19 เมษายน ของทุกปี จะเริ่มเล่นสาดน้ำกันประมาณวันที่ 16 หรือ 17-18-19 เมษายน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)